account_circle
สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ ควรได้รับโฟเลต/กรดโฟลิกให้เพียงพอ การรับประทานอโวคาโดซึ่งมีโฟเลต (folate หรือวิตามิน B9) จะช่วยป้องกันการพิการแต่กำเนิด และป้องกันการคลอดก่อนกำหนด หากคุณแม่ตั้งครรภ์ได้รับโฟเลตไม่เพียงพอ อาจจะมีความเสี่ยงในการเกิดความผิดปรกติของประสาทไขสันหลังของทารกในครรภ์ได้ ปริมาณโฟเลตที่คุณแม่ตั้งครรภ์ควรได้รับต่อวันคือ 400 ไมโครกรัม
นอกจากนี้ ในอโวคาโดยังมีแมงกานีส แมกนีเซียม สังกะสี ทองแดง เหล็ก ฟอสฟอรัส วิตามินเอ วิตามินบี 1 (ไทอะมีน) วิตามินบี 2 (ไรโบฟลาวิน) วิตามินบี 3 (ไนอะซิน) อีกทั้งอโวคาโดยังไม่มีโซเดียมและคอเลสเตอรอล นอกจากนี้ ยังมีไขมันอิ่มตัวน้อย การรับประทานอโวคาโดในปริมาณที่เหมาะสม จึงอาจส่งผลดีต่อสุขภาพหลายประการ เช่น ช่วยส่งเสริมสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด ช่วยป้องกันโรคเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ
เด็กเล็กเริ่มทาน อโวคาโด ได้ตั้งแต่เมื่อไหร่?
คุณแม่สามารถให้อาโวคาโดแก่ลูกน้อยได้ตั้งแต่อายุ 6 เดือน สามารถให้ทานได้ในปริมาณหนึ่งช้อนเล็กต่อวัน โดยสามารถเพิ่มปริมาณได้ทีละน้อยในอาทิตย์ถัด ๆ ไป จนกระทั่งเด็กอายุ 9 เดือน เด็กก็จะสามารถทานอโวคาโดได้ในปริมาณสามในสี่ของหนึ่งลูกขนาดกลาง
ทั้งนี้เด็กเล็กสามารถทานอโวคาโดได้ทุกวัน เพราะอโวคาโดเป็นอาหารที่ย่อยง่ายสำหรับเด็กเล็ก คุณแม่สามารถนำมาบดผสมกับนมแม่ นมวัว กล้วย แครอท หรือฟักทอง สลับกันไป เพื่อลูกจะได้รับสารอาหารหลากหลายในแต่ละวัน
ดูอย่างไรว่าอโวคาโดสามารถทานได้แล้ว?
อันดับแรกเริ่มจากดูสีของเปลือก
- เปลือกมีสีเขียวเข้มออกน้ำตาลให้ลองกดดูเบา ๆ ถ้ากดแล้วมีลักษณะนิ่มนิด ๆ หรือคิดว่ามีดสามารถผ่าเข้าไปได้ ก็สามารถทานได้แล้ว
- ถ้าผลยังแข็ง เปลือกมีสีเขียวอ่อน มีดไม่สามารถผ่าเข้าไปได้คือยังไม่สุก
- เปลือกเป็นสีดำ กดแล้วนิ่มมาก อันนั้นคือสุกเกินไป ข้างในจะเป็นสีดำแล้ว
ทั้งนี้การเด็ดขั้วประกอบกับการดูสีผิวก็สามารถบอกได้ ถ้าขั้วเด็ดยาก ด้านในสีขาวคือยังไม่สุก ถ้าเด็ดขั้วออกได้ค่อนข้างง่าย ด้านในเป็นสีเขียวหรือสีเหลือง คือสามารถทานได้แล้ว แต่ถ้าเด็ดขั้วแล้วหลุดออกเลย โดยไม่ต้องใช้แรง ด้านในสีน้ำตาลคือสุกเกินไป
ข้อควรระวังในการบริโภค อโวคาโด
แม้อโวคาโดจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพในหลาย ๆ ด้าน แต่ก็ไม่ควรรับประทานอโวคาโด หรืออาหารชนิดใดชนิดหนึ่งมากเกินไป ทางที่ดี ควรรับประทานอาหารให้หลากหลาย เพื่อให้ได้สารอาหาร วิตามิน และแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกายอย่างครบถ้วน อีกทั้งอะโวคาโดยังมีไขมันและไฟเบอร์สูง ซึ่งร่างกายอาจต้องใช้เวลาย่อยสารอาหารทั้งสองชนิดนี้นานกว่าสารอาหารชนิดอื่น ๆ จึงอาจช่วยผลให้รู้สึกอิ่มได้นานขึ้น และเมื่อรู้สึกอิ่ม ก็อาจรับประทานอาหารน้อยลง จนส่งผลให้ขาดสารอาหารได้
ข้อแนะนำในการเก็บรักษาอโวคาโด
ข้อแนะนำในการเก็บรักษาอโวคาโดสำหรับอากาศร้อนอย่างบ้านเรา ควรเก็บผลอโวคาโดไว้ในตู้เย็น เพราะบ้านเราอากาศร้อน ทำให้ผลอโวคาโดสุกง่ายและเสียเร็ว อโวคาโดสามารถสุกได้ในตู้เย็นถ้าทิ้งไว้ประมาณ 2-3 วัน แต่ถ้าต้องการจะทานเร็วก็สามารถทยอยนำมาไว้นอกตู้เย็น ตามปริมาณที่เราจะทานในวันถัดไปน หรือเคล็ดลับอีกอย่างคือ นำผลอโวคาโดที่ยังไม่สุกใส่ไว้ในภาชนะเดียวกับกล้วย เพราะกล้วยมีสารเอทิลีนซึ่งก็คือแก๊สหรือฮอร์โมนพืชชนิดหนึ่งทื่ถูกสร้างเพื่อกระตุ้นในกระบวนการสุกของผลไม้
ในส่วนของอโวคาโดที่เหลือทานไม่หมด สามารถใช้พลาสติกห่ออาหารปิดแล้วเก็บเข้าตู้เย็น หรือใช้น้ำมะนาวทาที่ผิวของผลอโวคาโด เพื่อกันไม่ให้เปลี่ยนเป็นสีดำ ก่อนเก็บใส่ในภาชนะเข้าตู้เย็น
เนื่องจากอโวคาโดจะมีสารโพลีฟีนอลเหมือนกับกล้วย แอปเปิ้ล ซึ่งเมื่อผสมกับออกซิเจนในอากาศจะเกิด ปฏิกิริยาเรียกว่าอ๊อกซิเดชั่น ซึ่งจะทำให้เปลี่ยนเป็นสีดำ แต่จะยังไม่ได้ทำให้ผลอโวคาโดเสียในเวลานั้น แต่หากทิ้งไว้นอกตู้เย็นประมาณ 2 วันก็ไม่ควรนำมารับประทานแล้ว
หากว่าผลอโวคาโดเปลี่ยนสีหลังจากที่เราตัดบางส่วนมารับประทานแล้ว ส่วนที่เหลือเก็บเข้าตู้เย็นเปลี่ยนเป็นสีคล้ำยังสามารถนำมารับประทานได้ แต่หากว่าผลที่ตัดแล้วเจอสีคล้ำด้านใน ซึ่งเกิดได้จากการเก็บผลอโวคาโดในสภาวะที่ร้อนเกินไป เย็นเกินไป หรือการทำตกทำให้ผลช้ำ ก็สามารถตัดส่วนที่คล้ำหรือช้ำออก ก็ยังสามารถทานส่วนที่ยังดีอยู่ได้อย่างปลอดภัย
เมื่อรู้ถึงคุณประโยชน์มากมายของ อโวคาโด แล้ว คุณแม่รีบไปหาซื้อมาให้ลูกทานกันได้เลยนะคะ จะซื้อมาให้ทุกคนในครอบครัวก็ยิ่งดี ผลไม้ที่เด็กทานได้ ผู้ใหญ่ก็ทานดี แถมอร่อยแบบนี้ พลาดไม่ได้เลยค่ะ
อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก
ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.wellandgood.com, https://medthai.com
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่