สมัยที่ผมยังเป็นวัยรุ่น (ทำไมประโยคขึ้นต้นได้แย่แบบนี้หนอ) มีโฆษณาผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กที่สร้างความฮือฮา โดยปล่อยให้เด็กทารกว่ายน้ำ (เรียกว่าดำน้ำน่าจะชัดกว่า) ผมยังจำความรู้สึกนั้นได้ดีว่า มันมหัศจรรย์แค่ไหน ที่เด็กตัวน้อยตัวอยู่ใต้น้ำได้…
ต่อมาโฆษณานี้ก็ถูกลืมไปตามกาลเวลาที่วิ่งผ่านไป จนช่วงที่ผมเรียนมหาวิทยาลัย ปกเทปของวง Nirvana ก็ทำให้ผมได้เห็นรูปเจ้าตัวน้อยดำน้ำอีกครั้ง ผมว่าน่ารักดี แต่ถ้าเป็นลูกผม ..ไม่ดีกว่า!! (นั่นคือความคิดตอนนั้น)
ปูนปั้นได้ลงน้ำครั้งแรกช่วงวันคริสต์มาสปี 2012 ยังอายุไม่ครบ 2 เดือนเลย หม่ามี๊ก็สั่งห่วงยางแบบใส่คอทารกให้ปูนปั้นตั้งแต่ช่วงเพิ่งเกิด (แต่ยังไม่เคยได้ใช้ เพราะผมว่าปูนปั้นยังตัวเล็กไปกลัวว่าเขาจะหลุดจากห่วง) แม้หม่ามี๊จะยืนยันว่าปลอดภัย แต่จนแล้วจนรอดผมก็ไม่พาไปสระไหนทั้งนั้น จนวันหนึ่งผมได้ Voucher ที่พักในโรงแรมย่านราชประสงค์ เช้าวันนั้นผมก็ไปส่งหม่ามี๊กับปูนปั้นที่โรงแรมแล้วผมก็ไปทำงาน ตกบ่ายผมก็เห็นคลิปที่หม่ามี๊โพสบนเฟซบุ๊ก เป็นคลิปลูกเล่นน้ำในอ่างอาบน้ำของโรงแรม (เจ้าหม่ามี๊ตัวแสบ!) ดูแล้วก็ต้องอมยิ้ม (คลิกชมเพื่อคลิปวิดีโอ)
ตอนเย็นผมกลับไปที่โรงแรม หม่ามี๊เลยให้ปูนปั้นเล่นน้ำโชว์ปะป๊าอีกที ผมยังจำภาพนั้นได้ดี เขาใช้ขาตีน้ำ หน้าตายิ้มมีความสุข แล้วเขาก็เงยหน้ามองผม เป็นภาพที่ผมบอกใครต่อใครว่า ผมรู้สึกได้ว่า ปูนปั้น เขากำลังบอกผมผ่านสายตาที่แสนไร้เดียงสานั้นว่า ‘ปะป๊าดูแลผมด้วยนะครับ’ โมเมนท์นั้นถูกถ่ายเก็บไว้โดยหม่ามี๊ และรูปนี้ก็วางอยู่ที่ห้องทำงานผม
พอปูนปั้นอายุได้ 6 เดือน หม่ามี๊ก็สั่งสระเป่าลมขนาดใหญ่มา มันใหญ่มาก กว่าจะพองลมเต็ม หม่ามี๊กับปะป๊าก็แทบหมดลม และเมื่อเจ้าปูนปั้นใส่ห่วงคอลงไปเล่น หน้าตาที่แสนมีความสุขก็ทำให้หม่ามี๊ก้าวสู่ขั้นต่อไป
หม่ามี๊ “พี่เอก พาปูนปั้นไปเรียนว่ายน้ำเถอะ”
(ปะป๊า T_T)
ยอมรับเลยว่าหลังจากฟังปฐมนิเทศน์ พอจะเอาเจ้าปูนปั้นลงน้ำสระเป็นครั้งแรก ผมรู้สึกหวั่นๆ แต่ก็เชื่อมือหม่ามี๊ เพราะเขาเป็นแม่ที่น่ารักมาก ขยันอ่าน ขยันหาสิ่งที่ดีๆ มาให้ลูก (แค่ความตั้งใจที่จะให้นมลูกจบครบ 2 ขวบ โดยไม่ยอมลดหุ่น ทั้งๆ ที่ปกติหม่ามี๊ตัวเล็กมาก ผมก็ยอมเธอแล้วฮะ) พอลงน้ำปุ๊บ คุณครูก็สอนให้เราประคองใต้แขนเด็กแล้วยื่นตัวลูกออกไปให้สุดแขนแล้วพาเดิน เพื่อให้เด็กปรับตัวกับแรงดันน้ำ
พอคุณครูถามว่าใครจะพาปูนปั้นเดิน หม่ามี้ตอบพรวด “ปะป๊า!”
(ปะป๊า “อ้าว เฮ้ย!!”)
หลังจากเดินแล้ว คุณครูก็จะสอนให้จับเจ้าปูนปั้น จุ่มน้ำ (ขอใช้คำนี้นะครับ) คือ จับเขาปล่อยลงไปใต้น้ำจนมิดหัวแล้วก็ยกขึ้นมา ซึ่งเจ้าปูนปั้นก็ดูสนุกสนานมาก
การจุ่มจะมีขั้นตอนเป็นจังหวะ 1-2-3 ซึ่งไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นห้ามยึกยักต้องทำให้จบ ไม่เช่นนั้นเด็กจะรู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ ครั้งต่อไปเขาจะกลัว จังหวะที่ 3 พอยกขึ้นมาจากน้ำ เราก็ต้องกอดและตบมือชมเขา เราก็จะได้เห็นหน้าตามึนๆ แต่ยิ้มสนุกสนาน
และมาถึงไฮไลต์เมื่อปูนปั้นต้องดำน้ำ หม่ามี๊ก็ตั้งกล้องถ่ายใต้น้ำ และเมื่อถึงจังหวะ 1-2-3 เราก็จะได้เห็นเจ้าโลมาตัวป้อมดำน้ำจากมือคุณครูว่ายมาถึงมือปะป๊า ในระยะห่างสักประมาณ 1 เมตร
พอโผล่จากน้ำเจ้าปูนปั้นก็หัวเราะชอบใจ ดูเขามีความสุขกับการเล่นน้ำ ผมเชื่อว่า เขาคงยังไม่ลืมความอบอุ่นตอนที่อยู่ในน้ำในพุงหม่ามี๊เป็นแน่ ช่วงเวลาที่เราอยู่ด้วยกันในน้ำมันเป็นช่วงเวลาที่สร้างความผูกพันได้ดีไม่น้อยเลยฮะ และถ้าคุณรู้ว่า สาเหตุที่ทำให้เด็กไทยเสียชีวิตมากที่สุดมาจากการจมน้ำ ผมว่า ..เรามาหัดเจ้าโลมาตัวน้อยให้ว่ายน้ำกันดีกว่าครับ
ติดตามเรื่องราวความน่ารักของครอบครัวน้องปูนปั้นได้ในคอลัมน์ FAMILY BLOGGER : www.real-parenting.com ได้ทุกสัปดาห์
แวะไปดู รอยยิ้มหวานฉ่ำ ที่มีแจกฟรีทุกวันได้ที่
www.facebook.com/Poonpun.Poonpoon นะครับ
บทความโดย: บรรทัดที่สิบเอ็ด (พ่อเอก-จิรัฏฐ์ สิริเฉลิมพงศ์)