ผมไม่แน่ใจนักว่าเคยเล่าเรื่องนี้ในตอนแรกๆ ของ Family Blogger หรือยัง เอาเป็นว่า ผมขอย้อนเรื่องราวกลับไปเมื่อปีกว่าๆ นะครับ ปูนปั้นเกิดเดือนตุลาคม ปี 2012 และพอเดือนธันวาคม ประมาณช่วงก่อนคริสต์มาส เราได้ไปนอนพักที่โรงแรมแถวราชประสงค์อยู่คืนหนึ่ง ที่ห้องพักจะมี อ่างอาบน้ำใบโต และเจ้าปูนปั้นตัวป่วนที่ตอนนั้นเพิ่งอายุเพียง 2 เดือนก็ได้ประสบการณ์ในการลงเล่นน้ำครั้งแรก
จากตอน : หม่าม๊าบอกว่า เจ้าคือโลมาตัวน้อย
ผมยังจำภาพได้ดีตอนที่หม่าม๊าเอาห่วงยาง (สำหรับเด็กทารก) สวมที่คอเจ้าปูนปั้นแล้วค่อยๆปล่อยเขาลงน้ำ เจ้าปูนปั้นใช้ขาถีบน้ำอย่างสนุกสนาน และมีตอนหนึ่งที่จู่ๆ เจ้าปูนปั้นก็ไหว้เอียงตัวมามองหน้าผม มองอยู่แบบนั้น…ยาว…และนานความรู้สึกตอนนั้น โลกมันหยุดอยู่กับที่และเงียบ (แม้กระทั่งตอนที่ผมพิมพ์อยู่ ตอนนี้ ผมยังรู้สึกได้ว่าโลกตรงนั้น ณ เวลานั้นมันหยุดอยู่กับที่… และมันจะหยุดอยู่ตรงนั้นตลอดกาล) เราโชคดีที่หม่าม๊าเจ้าปูนปั้น ได้ถ่ายภาพในจังหวะนั้นไว้ และผมก็เอามาไว้ในห้องที่ทำงาน เวลามีใครมานั่งที่ห้องแล้วชี้มาที่รูปนี้ ผมจะเล่าว่า
“เราทุกคนตามหาฮีโร่ อยากเป็นฮีโร่ ภาพนี้และความรู้สึกในตอนนั้น ผมรู้ว่าผมนี่แหละคือฮีโร่ เพราะสายตาที่เจ้าปูนปั้นมองมา ทำให้ผมรู้ว่า เขาเห็นเราคือคนที่จะปกป้องเขา สายตานั้นบอกผมว่า ป่า ป๊า อยู่ดูแลผมนะครับ”
หม่าม๊าเจ้าปูนปั้นเคยบอกกับผมว่า อย่าปล่อยให้ปูนปั้นอยู่คนเดียวเพราะอาจจะทำให้เขารู้สึกว่าถูกทอดทิ้ง (อันนี้เป็นบทความที่หม่าม๊าอ่านเจอมาครับ) ดังนั้นถ้าเราจะไปไหนเราจะบอกเขาตรงๆจะไม่แอบหลบออกไปหรือถ้าเขาตื่นนอนแล้วร้องขึ้นมา ตอนนั้นไม่ว่าเราทำอะไรอยู่ เราก็จะหยุดแล้วไปถึงเขาให้เร็วที่สุด
ทุกเช้าหม่ามี๊กับผมจะต้องตื่นนอนตอนตี 5 ขึ้นไปอาบน้ำและแต่งตัว เพื่อที่จะได้ออกจากบ้านก่อน 6 โมงเช้า เพราะเราต้องพาเจ้าปูนปั้นไปส่งที่เนอร์สเซอร์รี่ซึ่งตั้งอยู่กลางเมืองก่อนจะขับไปทำงานต่อดังนั้นการออกไม่เกิน 6 โมงเช้าจึงเป็นเวลาที่ดีที่สุด โชคดีที่เนอร์สเซอร์รี่นั้นเขาจะอาบน้ำตอนเช้าและก่อนกลับบ้านให้เด็กๆ เอง ดังนั้นเราจึงไม่ต้องปลุกเจ้าปูนปั้นตั้งแต่ตี 5 เพื่อขึ้นมาอาบน้ำ โดยเมื่อเราทำภาระกิจของเราเสร็จก็สามารถอุ้มเจ้าปูนปั้นขึ้นรถได้เลยแต่ก็นั่นแหละครับ แม้จะไม่ปลุก แต่เจ้าปูนปั้นเป็นเด็กตื่นเช้า ปกติเขาเข้านอนทุ่มกว่าๆดังนั้น ตี 5 กว่าเขาจะตื่นเองโดยไม่ต้องปลุก ซึ่งนั่นก็มักจะเป็นเวลาที่เรากำลังอยู่ในห้องน้ำ ดังนั้นทุกเช้าที่อาบน้ำ ผมจะต้องแง้มประตูไว้เพื่อที่ว่าถ้าเจ้าปูนปั้นเกิดตื่นขึ้นมา ผมจะได้ยินเสียงเรียก “ป่า ป๊า” อย่างชัดเจน ปูนปั้นออกเสียงเรียก “ป่า ป๊า” ได้ออดอ้อนกว่าที่ออกเสียงคำอื่นทั่วไป (อันนี้เราไม่ได้คิดเองนะครับ ทุกคนที่ได้ยินจะพูดเช่นนั้น ยิ่งเทียบกับเวลาเรียก “ยาย ยาย” แล้วหละก็ ทำเอายายค้อนว่าทำไมเรียก ยาย ดุดันจัง ฮ่าฮ่าฮ่า) ดังนั้น ทุกครั้งที่ผมได้ยินเสียงเรียก “ป่า ป๊า” ต่อให้ยังถูสบู่อยู่ผมก็จะรีบตะโกนตอบรับ แล้วรีบล้างตัว ลงไปหาเขาในชุดผ้าเช็ดตัวผืนเดียว เพราะผมรู้ว่าเขากำลังเรียกหา ‘ฮีโร่’ ของเขาอยู่
ปูนปั้นตอนตื่นนอนเป็นเด็กที่เหมือน ‘ตุ๊กตาใส่แบตเตอรี่’ เพราะทันทีที่เขาตื่น เขาจะลุกพรวดแล้วก็เดินไปหยิบ รถเด็กเล่น ที่จะมีวางทิ้งอยู่ในคอกที่เรานอนด้วยกันทันทีพร้อมรอยยิ้มสดใสรับเช้าวันใหม่ซึ่งจะมากับเสียงที่พร้อมออกไปทำกิจกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะ ‘บรื้นๆ’ (ชวนเล่นรถ), ‘เตะๆ’ (ชวนเตะบอล), ‘ไปๆ’ (จูงมือเราไปที่ๆเขาต้องการ) หรือ ‘ดริ๊งๆ’ (ขอน้ำดื่ม) ซึ่งรอยยิ้มนั้นก็จะทำให้เรามีความสุขกับทุกเช้าเช่นกัน
ดังนั้นเอาเข้าจริงๆ ผมอยากจะบอกว่า “ทุกเช้า ผมจะมีความสุขมาก ถ้าตอนที่อาบน้ำแล้วได้ยินเสียงเจ้าปูนปั้นเรียก ป่า ป๊า’ นั่นไม่ใช่เพียงเพราะผมจะได้เล่นบทฮีโร่หากแต่ว่า ผมจะได้วิ่งลงไปเจอฮีโร่ของผมต่างหาก
‘ปูนปั้นตัวป่วน คือฮีโร่ของผม เขาสอนให้เรายิ้มตั้งแต่เช้า สอนให้เรามีความสุขกับทุกสิ่งที่มี รอบๆตัว’ หม่ามี๊ กับ ปะป๊า คงไม่ใช่เพียงฮีโร่ของเจ้า แต่ เราเป็นฮีโร่ของกันละกัน
แวะไปดู รอยยิ้มหวานฉ่ำ ที่มีแจกฟรีทุกวันได้ที่
www.facebook.com/Poonpun.Poonpoon นะครับ
บทความโดย: บรรทัดที่สิบเอ็ด (พ่อเอก-จิรัฏฐ์ สิริเฉลิมพงศ์)