เช็คขั้นตอนตรวจ สิทธิ์ฝังยาคุม และรับบริการฟรี
ในขณะที่หลาย ๆ คนอยากมีลูกน้อย แต่หลายคนยังไม่ถึงวัยที่พร้อมจะมีลูกน้อยล่ะ ควรทำอย่างไร ตอนนี้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ให้คำแนะนำว่า สำหรับหญิงที่ไม่พร้อมตั้งครรภ์สามารถตรวจสอบ สิทธิ์ฝังยาคุม กำเนิดผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ได้ หากได้สิทธิ์ก็สามารถไปใช้บริการที่สถานพยาบาลใกล้บ้านโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายนะคะ สิทธิ์นี้ตรวจสอบได้อย่างไร มาดูกันค่ะ
ยาฝังคุมกำเนิด
เป็นการใช้ฮอร์โมนชนิดเดียว คือ โปรเจสติน (Progestin) ที่บรรจุเอาไว้ในหลอดหรือแท่งพลาสติกเล็กๆ ยาวประมาณ 3 เซนติเมตร ขนาดเท่าไม้จิ้มฟันชนิดกลม นำมาฝังเข้าไปที่ใต้ผิวหนังบริเวณใต้ท้องแขนด้านในที่ไม่ถนัด ใช้เวลาในการฝังยาประมาณ 10-15 นาที ซึ่งฮอร์โมนตัวนี้จะค่อยๆ ซึมผ่านออกมาจากแท่งยาเข้าสู่ร่างกาย และไปยับยั้งการเจริญเติบโตของฟองไข่ ส่งผลทำให้ไม่มีการตกไข่ตามมา จึงช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ได้นานถึง 3-5 ปี
ข้อดีของการฝังยาคุมกำเนิด
- ประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดสูงมาก ประมาณ 1/200 คน ที่เกิดอัตราล้มเหลว
- เป็นวิธีที่มีความสะดวก ฝังครั้งเดียวสามารถคุมกำเนิดได้นาน 3-5 ปี
- มีอาการข้างเคียงน้อย
- สามารถเลิกใช้เมื่อใดก็ได้ เมื่อต้องการจะมีบุตร หรือเปลี่ยนเป็นใช้วิธีการคุมกำเนิดแบบอื่น
- หลังจากถอดออก จะสามารถมีลูกได้เร็วกว่าการฉีดยาคุมกำเนิด 90% ตกไข่ใน 1 เดือน
- ยาฝังคุมกำเนิด ยังช่วยลดอาการปวดประจำเดือน ลดภาวะประจำเดือนมามาก
ผู้ที่เหมาะจะใช้ยาฝังคุมกำเนิด
- ผู้ที่ต้องการคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพสูงสุดและคุมกำเนิดได้ในระยะยาว
- ผู้ที่ต้องการเว้นช่วงการมีบุตรอย่างน้อย 3 ปีขึ้นไป
- ผู้ที่มีข้อห้ามในการใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจน
ผู้ที่ไม่ควรใช้
- ผู้ที่ตั้งครรภ์ หรือ สงสัยว่าตั้งครรภ์
- ผู้ที่มีความผิดปกติของระบบการแข็งตัวของเลือด หรือ กำลังได้รับยาต้านการแข็งตัวของเลือด
- ผู้ที่มีข้อห้ามในการใช้ฮอร์โมนโปรเจสโตเจน
- ผู้ที่มีเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอดหรือตามอวัยวะเพศต่างๆ โดยไม่ทราบสาเหตุ
- ผู้ที่มีความผิดปกติเกี่ยวกับการทำงานของตับ หรือ กำลังเป็นโรคตับอักเสบ
ผลข้างเคียง
เมื่อฝังยาฝังคุมกำเนิด อาจทำให้ประจำเดือนมาไม่ปกติ หรืออาจมีอาการระคายเคือง ปวด บวมแดงบริเวณผิวหนังที่ฝังยาเข้าไป แต่อาการจะเป็นแค่ระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้น นอกจากนี้อาจมีน้ำหนักตัวขึ้น สิวขึ้น ปวดศีรษะ เจ็บเต้านม และอารมณ์แปรปรวนหลังฝังยาคุมกำเนิดในบางราย
ข้อปฏิบัติหลังฝังยาคุม
- ควรมาพบแพทย์ตามนัด 7 วัน เพื่อดูแผลที่ฝังยา และต่อไปปีละครั้งเพื่อติดตามผล
- เมื่อครบกำหนด 3 ปี หรือ 5 ปี ต้องกลับมาโรงพยาบาลเพื่อเอายาหลอดเก่าออก และใส่หลอดใหม่เข้าไป
การคุมกำเนิดด้วยวิธีนี้ ต้องทำโดยแพทย์ หรือพยาบาลผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น ห้ามพยายามกระทำ หรือนำออกด้วยตัวเอง เพราะอาจทำให้เกิดปัญหาได้
สิทธิ์ฝังยาคุม สำหรับหญิงอายุไม่เกิน 20 ปี
สปสช. ตั้งเป้าหมายฝังยาคุมกำเนิด โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ให้กับกลุ่มผู้หญิงที่ยังไม่มีความพร้อมตั้งครรภ์
- อายุต่ำกว่า 20 ปี ในปีนี้ จำนวน 9,280 คน
- กลุ่มอายุ 20 ปีขึ้นไปที่ยุติการตั้งครรภ์ 1,159 คน
นอกจากนี้ยังได้ประสานธนาคารกรุงไทย พัฒนาแอปฯ เป๋าตัง ให้สามารถตรวจสอบสิทธิ์ก่อนนัดหมายเข้ารับบริการยังสถานพยาบาลใกล้บ้าน
นอกจากบริการฝังยาคุมกำเนิดแล้ว ยังรวมถึงบริการใส่ห่วงอนามัย เพื่อลดการเสียชีวิต และภาวะแทรกซ้อนจากการยุติการตั้งครรภ์ที่ไม่ปลอดภัย
เกณฑ์ในการเข้ารับบริการ สิทธิ์ฝังยาคุม
ผู้ที่เข้าเกณฑ์ สามารถเข้ารับบริการที่หน่วยบริการระบบบัตรทอง หรือระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ที่ร่วมบริการตามความสะดวก โดยได้กำหนดหลักเกณฑ์การรับบริการ ดังนี้
• กลุ่มอายุต่ำกว่า 20 ปี ที่ต้องการคุมกำเนิด หรืออยู่ในภาวะหลังคลอด หรือหลังแท้ง
• กลุ่มอายุ 20 ปีขึ้นไป เฉพาะกรณีหลังยุติการตั้งครรภ์
อย่างไรก็ตาม การเข้ารับบริการคุมกำเนิดกึ่งถาวรจะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์บริการ ซึ่งในกรณีผู้หญิงอายุต่ำกว่า 20 ปี จะครอบคลุมทุกคนที่ต้องการรับบริการ แต่กรณีอายุ 20 ปีขึ้นไป กำหนดให้สิทธิเฉพาะผู้ที่ยุติการตั้งครรภ์เท่านั้น
บริการส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรคในแอปเป๋าตังนั้น ทุกคนสามารถตรวจสอบสิทธิที่จะได้รับตามกลุ่มวัยและเพศได้ โดยเข้าไปที่กระเป๋าสุขภาพ เมื่อลงทะเบียนแล้ว จะปรากฏรายละเอียดสิทธิการรักษาพยาบาลของแต่ละคน และสามารถตรวจสอบสิทธิบริการสร้างเสริมสุขภาพที่ได้รับได้ เฉพาะในพื้นที่ กทม. ขณะนี้นำร่อง สามารถจองคิวนัดหมายเข้ารับบริการที่หน่วยบริการได้
สำหรับการสนับสนุนการฝังยาคุมกำเนิด ผู้สนใจสามารถใช้สิทธิ์ได้ทันที เพื่อลดปัญหาการลืมกินยาคุมกำเนิด และหากภายหลังต้องการตั้งครรภ์สามารถให้แพทย์นำยาคุมกำเนิดดังกล่าวออกได้
สอบถามเพิ่มเติมการใช้สิทธิบัตรทอง ได้ที่ สายด่วน สปสช. 1330 หรือช่องทางระบบออนไลน์ทั้งไลน์ สปสช. (ไลน์ไอดี @nhso) หรือคลิก https://lin.ee/zzn3pU6 และ Facebook : สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ https://www.facebook.com/NHSO.Thailand
ขอบคุณข้อมูลจาก
Hfocus , โรงพยาบาลนครธน
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่
อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก