ในกฎหมายอาญามาตรา 276 เดิม ได้กำหนดให้การข่มขืนกระทำชำเรานั้นเกิดขึ้นได้เฉพาะกรณี
คือ “หญิงอื่นที่มิใช่ภริยาตน หรือเด็กหญิง” เท่านั้นที่ถือเป็นความผิดเกี่ยวกับการขมขืนกระทำชำเรา แต่กฎหมายใหม่ที่ปรับแก้นั้น ได้กำหนดให้การข่มขืนกระทำชำเรา “ผู้อื่น” รวมไปถึงผู้ชาย เด็กชาย และคู่สมรส มีความผิดอาญาด้วย ซึ่งหมายความว่า ผู้หญิงก็อาจเจอข้อหาข่มขืนผู้ชาย ข่มขืนเด็ก ข่มขืนผู้หญิงด้วยกัน ข่มขืนสามี และผู้ชายก็อาจเจอข้อหาข่มขืนผู้ชาย ข่มขืนเด็ก ข่มขืนเมียตัวเองก็ได้ทั้งนั้น
ไม่ใช่แค่กับ…อวัยวะเพศ
นอกจากนี้ เดิมนั้น การข่มขืน หมายถึง การใช้อวัยวะเพศชายกระทำกับอวัยวะเพศหญิง และล่วงล้ำเข้าไปในช่องคลอด ซึ่งจากคำพิพากษาฎีกาได้วางแนวไว้ว่า แม้ล่วงล้ำเข้าไปในช่องคลอดเพียงองคุลีเดียว (ความยาวหนึ่งองคุลีเท่ากับข้อปลายของนิ้วกลาง) ก็ถือว่าเป็นการข่มขืนแล้ว
แต่ข้อกฎหมายใหม่ได้นิยามความหมายของลักษณะการข่มขืนกระทำชำเราเพิ่มขึ้นจากเดิมที่ได้มีการบัญญัติไว้แค่อวัยวะเพศ แต่เมื่อแก้ไขเพิ่มเติมใหม่ก็ได้หมายความไปถึงการกระทำกับทวารหนัก ช่องปาก หรือใช้สิ่งอื่นใดกระทำกับอวัยวะเพศ หรือทวารหนักผู้อื่น โดยไม่จำเป็นจะต้องใช้อวัยวะเพศของตนเองกระทำเท่านั้น
หญิงข่มขืนชาย ย่อมมีความผิดเช่นเดียวกัน….
อ้างอิงประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 276 “ผู้ใดข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่นโดยขู่เข็ญด้วยประการใด ๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยผู้อื่นนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ หรือโดยทำให้ผู้อื่นนั้นเข้าใจผิดว่าตนเป็นบุคคลอื่น ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 4-20 ปี และปรับตั้งแต่ 8,000 – 40,000 บาท
ส่วนในวรรค 3 กำหนดไว้ว่าถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่งได้กระทำโดยมีหรือใช้อาวุธปืนหรือวัตถุระเบิด หรือโดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงหรือกระทำกับชายในลักษณะเดียวกัน ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 15 – 20 ปี และปรับตั้งแต่ 30,000 – 40,000 บาท หรือจำคุกตลอดชีวิต
และวรรคสี่ มาตราเดียวกัน “ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นการกระทำความผิดระหว่างคู่สมรส และคู่สมรสนั้นยังประสงค์จะอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยา ศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้เพียงใดก็ได้ หรือจะกำหนดเงื่อนไขเพื่อคุมความประพฤติแทนการลงโทษก็ได้ ในกรณีที่ศาลมีคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุก และคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ประสงค์จะอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยาต่อไป และประสงค์จะหย่า ให้คู่สมรสฝ่ายนั้นแจ้งให้ศาลทราบ และให้ศาลแจ้งพนักงานอัยการให้ดำเนินการฟ้องหย่าให้”
กรณีของสามีและภรรยา หลายคนอาจจะสงสัยว่ามีด้วยเหรอกรณีที่คู่สามีภรรยาข่มขืนกัน ในเมื่อเขาแต่งงานอยู่กินด้วยกันแล้ว ซึ่งเรื่องนี้ต้องอ้างอิงข้อมูลของสถาบันวิจัยประชากรและสังคม ม.มหิดลและมูลนิธิผู้หญิงได้เคยทำการสำรวจเกี่ยวกับเรื่องนี้ พบว่า ผู้หญิงไทยอายุ 15-49 ปี ในเขตกรุงเทพมหานคร ที่มีหรือเคยมีคู่เคยถูกกระทำความรุนแรงทางเพศจากคู่มีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 30 ซึ่งความรุนแรงทางเพศที่พบมากที่สุดในการวิจัยนี้คือ การที่ผู้หญิงต้องยอมมีเพศสัมพันธ์กับสามีหรือคู่ ถูกฝืนใจให้มีเพศสัมพันธ์ที่ผิดธรรมชาติหรือน่ารังเกียจ ซึ่งส่วนใหญ่จะถูกบังคับจิตใจทางอ้อม โดยที่ผู้หญิงไม่พร้อมหรือไม่ต้องการมากกว่าใช้กำลังบังคับโดยตรง
อย่างไรก็ดีต้องยอมรับว่ารายละเอียดของข้อกฎหมายฉบับนี้คิดเผื่อไปถึงบุคคลทุกเพศทุกวัยให้ได้รับความเท่าเทียมกัน ตามเจตนารมณ์แห่งความยุติธรรมจริงๆ
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็มีบางคนอาจทักท้วงว่า การแก้ไขกฎหมายดังกล่าวเป็นการทำลายความสัมพันธ์ในครอบครัว และส่งเสริมให้ภรรยาแจ้งความดำเนินคดีกับสามี หรือสามีแจ้งภรรยา และอาจทำให้เกิดปัญหาสังคมตามมาได้ การแก้ไขกฎหมายได้คำนึงถึงเหตุในข้อนี้เช่นกัน
ดังนั้น จึงบัญญัติต่อในวรรคสุดท้ายของมาตรานี้ว่า ในกรณีความผิดระหว่างคู่สมรส (จดทะเบียนสมรสกัน) ถ้าคู่สมรสยังประสงค์ที่จะอยู่กินกันฉันท์สามีภรรยาต่อไป ศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดเพียงใดก็ได้ หรืออาจกำหนดเงื่อนไขคุมประพฤติแทนก็ได้ ส่วนในกรณีที่ศาลพิพากษาให้ลงโทษจำคุก ถ้าสามีหรือภรรยาไม่ประสงค์จะอยู่ร่วมกันต่อแล้ว ก็สามารถฟ้องหย่าได้ทันที
อ่านต่อ >> ลักษณะ 9 ความผิดเกี่ยวกับเพศ ของกฎหมายอาญาที่พ่อแม่ควรรู้ เพื่อดูแลลูกหลาน คลิกหน้า 3
อ่านต่อ “บทความน่าสนใจ” คลิก
- ถอดรหัส ประโยคขี้ฟ้องของลูก
- เด็ก 7 ขวบ ถูกข่มขืน ต้องกินยาต้านไวรัส พร้อมเล่าเหตุการณ์ผ่านภาพวาดที่สุดสะเทือนใจ
- ข่มขืน ภัยมืดของสังคม กับความเสี่ยงทั้งแม่ลูก
ขอบคุณแหล่งข้อมูล : เพจ สายตรงกฏหมาย ทนาย รัชพล ศิริสาคร
, www.muslimvoicetv.com , news.mthai.com
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่