ไข้หวัดใหญ่กับโควิด – โควิด-19 ไข้หวัด ภูมิแพ้ และไข้หวัดใหญ่ อาจทำให้มีอาการเจ็บป่วยบางอย่างที่คล้ายกันในบางลักษณะอาการ เพราะล้วนเป็นโรคที่ส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจ สามารถอาการเล็กน้อยไปจนถึงรุนแรง บางครั้งอาจแยกอาการของโรคไม่ออกได้ในทันที เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราป่วยเป็น COVID-19 หรือไม่ หรือเป็นแค่โรคอื่นๆ วันนี้มาทำความเข้าใจความแตกต่างของอาการแต่ละโรคเพื่อที่จะสามารถแยกแยะอาการของโรคทั้งหมดได้ค่ะ
แยกให้ออก ภูมิแพ้ ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่กับโควิด -19 อาการ ต่างกันยังไง?
โควิด-19 หรือโคโรนาไวรัสคืออะไร แพร่กระจายอย่างไร รักษาอย่างไร?
โควิด-19 เป็นโรคระบบทางเดินหายใจติดต่อที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 มักแพร่กระจายระหว่างผู้ที่สัมผัสใกล้ชิด (ในระยะ 6 ฟุตหรือ 2 เมตร) ไวรัสแพร่กระจายผ่านละอองทางเดินหายใจที่ปล่อยออกมาเมื่อมีคนหายใจ ไอ จาม พูดหรือร้องเพลง ซึ่งละอองฝอยเหล่านี้สามารถเข้าสู่ปากหรือจมูกของคนที่อยู่ใกล้ๆ หรือสูดดมเข้าไป นอกจากนี้ไวรัสยังสามารถแพร่กระจายได้หากบุคคลสัมผัสพื้นผิวหรือวัตถุที่มีไวรัสอยู่จากนั้นเอามือสัมผัสปาก จมูก หรือตาของเขา ซึ่งแม้ว่าจะไม่ใช่วิธีหลักในการแพร่กระจายก็ตาม
โดยปกติแล้ว หลังได้รับเชื้อผู้ป่วยโควิด-19 จะมีอาการจะแสดงออกมาในช่วง 2-14 วัน
อาการของโรคโควิด-19 ที่พบบ่อย
- มีไข้สูงมากกว่า 37.5 องศาเซลเซียสได้นานหลายวัน
- ไอแห้งๆ
- ไม่มีเรี่ยวแรง หอบเหนื่อย
- ไอมีเสมหะ
- หายใจลำบาก
- เจ็บคอ
- ปวดหัว
- สูญเสียการรับรส และการได้กลิ่น
การศึกษาทางคลินิกชี้ให้เห็นว่าผู้คนจำนวนมากที่มีผลตรวจเป็นบวกสำหรับ COVID-19 นั้นไม่มีอาการแสดงของโรค ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอาการของโรค ในบางกรณี อาจให้การรักษาด้วยยาต้านไวรัสที่มีฤทธิ์ในการปราบปรามไวรัสร่วมกับยาแก้ปวด ยาแก้แพ้ ยาแก้คัดจมูก หรือการรักษาตามอาการอื่นๆ ในผู้ป่วยที่มีความบกพร่องในการทำงานของปอดและปอดถูกทำลาย แพทย์มักจะพิจารณาใช้เครื่องช่วยหายใจเพื่อจัดการกับปัญหาทางเดินหายใจและสนับสนุนระบบทางเดินหายใจ
โควิด-19 กับไข้หวัดธรรมดาต่างกันอย่างไร?
สาเหตุของ COVID-19 และไข้หวัดเกิดจากเชื้อไวรัสเช่นเดียวกัน โดย COVID-19 เกิดจากไวรัส SARS-CoV-2 ในขณะที่โรคไข้หวัดมักเกิดจากไรโนไวรัส (Rhino virus) ซึ่งไวรัสเหล่านี้มีการแพร่กระจายในลักษณะที่คล้ายคลึงกัน และทำให้เกิดอาการและอาการแสดงหลายอย่างเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตามยังมีความแตกต่างที่สามารถแยกแยะอาการได้ คือโดยทั่วไปอาการของโรคโควิด-19 จะปรากฏขึ้นภายใน 2 ถึง 14 วันหลังจากสัมผัสกับ SARS-CoV-2 แต่อาการของโรคไข้หวัดมักจะปรากฏขึ้น 1 – 3 วันหลังจากสัมผัสเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรค และระยะเวลาของอาการป่วยจะอยู่ที่เพียง 2-5 วันเท่านั้น อย่างไรก็ตาม อาการน้ำมูกไหลอาจเป็นนานได้ 10-14 วัน
อาการของโรคไข้หวัดที่พบบ่อย
- คัดจมูก
- น้ำมูกไหลลักษณะใส
- ไอมีเสหะ
- จาม
- เจ็บคอ
- เสียงแหบ
- อาจมีไข้ต่ำ ๆ ปวดศีรษะเล็กน้อย
การรักษาอาจรวมถึงการให้ยาแก้ปวดและยาแก้หวัด เช่น ยาลดน้ำมูก ไข้หวัดมักไม่เป็นอันตราย ต่างจากโควิด-19 คนส่วนใหญ่หายจากโรคไข้หวัดได้ภายใน 3 ถึง 10 วัน แม้ว่าโรคหวัดบางอย่างอาจคงอยู่นานถึงสองหรือสามสัปดาห์
ความแตกต่างระหว่าง โควิด-19 กับโรคภูมิแพ้ คืออะไร?
โรคภูมิแพ้เป็นโรคที่เกิดจากการตอบสนองของร่างกายที่ไวต่อสารก่อภูมิแพ้มากกว่าปกติ และไม่ได้เกิดจากเชื้อไวรัส โดยร่างกายของผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้มักมีการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันที่เกิดจากการสัมผัสสารก่อภูมิแพ้ เช่น ละอองเกสรของต้นไม้ หรือหญ้า ไรฝุ่น หรือเชื้อราในอากาศ เป็นต้น ไวรัสโควิด-19 และอาการของภูมิแพ้อาจทำให้เกิดอาการหลายอย่างที่คล้ายกันได้ อย่างไรก็ตามยังมีความแตกต่างบางประการที่สามารถแยกแยะได้ โดยอาการของผู้ที่ติดเชื้อโควิด-19 อาจมีอาการหายใจลำบาก แต่อาการของโรคภูมิแพ้ มักไม่มีอาการเหล่านี้ เว้นแต่คุณจะมีอาการทางระบบทางเดินหายใจ เช่น โรคหอบหืด ซึ่งเกิดจากการสัมผัสกับละอองเกสรดอกไม้
อาการของโรคภูมิแพ้ที่พบบ่อย
- จาม
- น้ำตาไหล
- คันตา
- คัน/คัดจมูก
- อาจมีน้ำมูกไหล
- เกิดผื่นแพ้ต่าง ๆ ได้
- อาการบวมที่ริมฝีปาก ลิ้น ใบหน้า หรือลำคอ
- หายใจมีเสียงหวีดหรือหายใจถี่
การรักษาควรดูแลตัวเอง หลีกเลี่ยงจากสิ่งกระตุ้นที่ทำให้เกิดอาการแพ้ ใช้ยาตามแพทย์สั่ง อาจล้างจมูก ยาพ่นจมูกสเตียรอยด์และยาแก้คัดจมูก เพื่อป้องกันไม่ให้อาการกำเริบได้
โควิด-19 กับไข้หวัดใหญ่ ต่างกันอย่างไร?
โควิด-19 และไข้หวัดใหญ่เป็นโรคทางเดินหายใจที่เกิดจากเชื้อไวรัสเช่นเดียวกันโดย COVID-19 เกิดจากไวรัส SARS-CoV-2 ในขณะที่ไข้หวัดใหญ่เกิดจากไวรัส Influenza A และ B ไวรัสเหล่านี้แพร่กระจายในลักษณะเดียวกัน
โควิด-19 และไข้หวัดใหญ่ทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยคล้ายกันได้ บางครั้งอาจยากที่จะวินิจฉัยที่พิจารณาจากอาการเพียงอย่างเดียว อย่างไรก็ตาม ยังมีความแตกต่างบางประการ กล่าวคือ โดยทั่วไปอาการของ COVID-19 จะปรากฏหลังจากสัมผัส SARS-CoV-2 ภายใน 2-14 วัน อาการไข้หวัดใหญ่มักปรากฏขึ้นประมาณ 1-4 วัน หลังจากสัมผัสเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ นอกจากนี้ COVID-19 จะแพร่กระจายได้ง่ายกว่าไข้หวัดใหญ่ และทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนที่ร้ายแรงกว่า ตลอดจนผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่มักไม่มีอาการทางเดินหายใจส่วนล่าง เช่น หายใจลำบาก แน่นหน้าอก เป็นต้น
อาการของโรคไข้หวัดใหญ่ที่พบบ่อย
- มีไข้สูงติดกันหลายวัน
- ปวดศีรษะ
- ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
- ไอแห้ง ๆ
- จาม
- เจ็บคอ
- บางครั้งมีน้ำมูก
- หนาวสั่น เหงื่ออก
โควิด-19 อาจทำให้เกิดการเจ็บป่วยที่ร้ายแรงในผู้ป่วยบางรายได้มากกว่าไข้หวัดใหญ่ นอกจากนี้อาจทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนที่แตกต่างจากไข้หวัดใหญ่ เช่น ลิ่มเลือดและกลุ่มอาการอักเสบหลายระบบในเด็ก (MIS-C)
มียาต้านไวรัสหลายชนิดที่สามารถใช้รักษาไข้หวัดใหญ่ได้ นอกจากนี้คุณยังสามารถรับวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ประจำปีเพื่อช่วยลดความเสี่ยงของไข้หวัดใหญ่ได้อีกด้วย วัคซีนไข้หวัดใหญ่ยังช่วยลดความรุนแรงของโรคและความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงได้ ปัจจุบันมีวัคซีนทั้งแบบฉีดหรือพ่นจมูก
เพื่อลดความเสี่ยงต่อโรคระบบทางเดินหายใจทั้งหมด รวมทั้ง ภูมิแพ้ โรคหวัด ไข้หวัดใหญ่ และ COVID-19 ทุกคนต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกัน คือ สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาขณะอยู่ในที่สาธารณะ ล้างมือบ่อยๆ ด้วยสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์ งดเว้น จากการไปในที่ที่มีผู้คนพลุกพล่านและหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ต้องสงสัยหรือผู้ป่วยที่ได้รับการยืนยันแล้ว โดยยังคงรักษาระยะห่างทางสังคม นอกจากนี้การให้ความรู้ความเข้าใจแนวทางในการป้องกันโรคต่างๆ ให้แก่เด็กๆ จะช่วยปลูกฝังและเสริมสร้างให้เด็กเกิดทักษะความฉลาดที่รอบด้านด้วย Power BQ ในด้าน ความฉลาดต่อการมีสุขภาพที่ดี HQ ได้อีกด้วยค่ะ
ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : mayoclinic.org , bangkokhospital.com
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
หวัดแดด ต่างจากไข้หวัดธรรมดาอย่างไร?
ภูมิแพ้ หวัด ไข้หวัดใหญ่ ต่างกันอย่างไร แยกให้ออกลูกเป็นโรคอะไรกันแน่!
ไข้หวัดใหญ่ ช่วงโควิด-19 อันตราย! WHO เตือนคนท้อง-เด็กเล็ก ยิ่งต้องระวัง
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่