ลูกร้องไห้น้ำตาเป็นเลือด – แม้ว่าเทคโนโลยีดิจิตอลจะมีประโยชน์มากมาย แต่ก็ยังมีโทษเสมือนดาบสองคมได้อย่างน่าวิตกหากเราใช้อย่างผิดวิธีและขาดความระมัดระวัง แต่ถ้าเรารู้เท่าทันและปฏิบัติตัวในการใช้เทคโนโลยีให้เหมาะสมก็ย่อมปลอดภัยจากอันตรายต่างๆ ได้
ทุกวันนี้ เมื่อพูดถึงเด็กเล็กๆ กับโทรศัพท์มือถือ พ่อแม่หลายคนคงรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่แยกออกจากกันได้ยากพอสมควร เพราะในแต่ละวันคงเป็นเรื่องยากไม่มากก็น้อยที่พ่อแม่จะไม่หยิบจับโทรศัพท์ให้ลูกเห็น หรือ ไม่เปิดดูคลิปต่างๆ ในมือถือให้ลูกเห็นหรือดู อย่างไรก็ตามแพทย์หลายท่านต่างลงความเห็นว่าไม่ควรให้เด็กได้เล่นมือถือจนกว่าจะอายุ 2 ขวบ และหากให้เล่นควรอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของผู้ปกครองอย่างใกล้ชิด ควรจำกัดเวลาให้เป็นกฏระเบียบที่ชัดเจน เนื่องจากการปล่อยเด็กไว้กับโทรศัพท์มือถือนานๆ ไม่ใช่เรื่องที่ดีต่อทั้งพัฒนาการและสุขภาพของเด็ก เพราะอาจทำให้เด็กมีปัญหาด้านพัฒนาการที่ล่าช้า หรือมีปัญหาด้านสายตาได้
อุทาหรณ์! ลูกร้องไห้น้ำตาเป็นเลือด เพราะชอบปิดไฟเล่นโทรศัพท์!
อย่างกรณีที่เราจะพูดถึงในวันนี้ เป็นเรื่องราวของคุณแม่รายหนึ่งที่ได้แชร์เรื่องราวให้เป็นอุทาหรณ์กับคุณแม่ท่านอื่นในกรุ๊ป โดยคุณแม่ได้แชร์เรื่องที่ลูกชายวัย 4 ขวบ มีปัญหาเกี่ยวกับดวงตา คุณแม่ได้พาน้องไปคลินิคหมอตาเฉพาะทางเนื่องจากมีอาการตาขาวแดง คุณหมอแจ้งว่าอาจจะมีแมลงเข้าตาน้อง แต่แม่ก็ส่องไฟฉายดูทุกวัน ไม่มีอะไร โดยคุณแม่เล่าในโพสต์ว่า
อาการร้องไห้เป็นเลือด (Haemolacria)
ทางการแพทย์ อาการร้องไห้เป็นเลือด หรือ Haemolacria ถือว่าเป็นอาการที่พบได้ไม่บ่อย สามารถเกิดขึ้นได้กับดวงตาทั้ง 2 ข้างพร้อม ๆ กัน หรือเพียงด้านใดด้านหนึ่ง ตาข้างซ้ายหรือข้างขวามีโอกาสเกิดอาการนี้ได้เท่ากันขึ้นอยู่กับสาเหตุ เป็นอาการที่พบได้ในทุกเพศและทุกวัย ซึ่งสาเหตุทั่วไปของอาการนี้ ได้แก่
การบาดเจ็บที่เยื่อบุตา : เยื่อบุตาเป็นเยื่อเนื้อเยื่อใสที่อยู่ด้านบนของตาขาว ซึ่งเป็นส่วนสีขาวของตา ภายในเยื่อบุลูกตาเป็นโครงข่ายของหลอดเลือด บางครั้งการติดเชื้อ การอักเสบ หรือการฉีกขาดอาจทำให้เยื่อบุตามีเลือดออกเนื่องจากหลอดเลือดมีความอุดมสมบูรณ์มาก เลือดเพียงแค่ไหลออกมาและผสมกับน้ำตาทำให้ดูเหมือนกับว่าคนๆ นั้นกำลังสร้างน้ำตาด้วยเลือด
ความผิดปกติของระบบโลหิต : ความผิดปกติของเลือด รวมทั้งผู้ป่วยฮีโมฟีเลีย หรือ โรคเลือดออกง่ายหยุดยากทางพันธุกรรม อาจทำให้เลือดออกมากเกินไปเนื่องจากปัญหาการแข็งตัวของเลือด ผู้ที่เป็นโรคฮีโมฟีเลียอาจมีอาการฟกช้ำหรือมีเลือดออกได้ง่าย หรือมีน้ำตาปนกับเลือด การใช้ยาแอสไพรินหรือเฮปารินอาจเป็นตัวการ สำหรับผู้ป่วยที่มีรอยฟกช้ำหรือมีเลือดออกบ่อยควรได้รับการประเมินโดยแพทย์อายุรกรรม
โรคเนื้องอกเส้นเลือด : หรือโรค ไพโอเจนนิค กรานูโลมา เป็นเนื้องอกที่เป็นพิษเป็นภัย อาจเติบโตบนเยื่อบุลูกตาหรือในถุงน้ำตา ถุงน้ำตาเป็นจุดเชื่อมต่อทั่วไปที่รูระบายน้ำน้ำตาทั้งสองรวมกันเพื่อระบายน้ำตา สามารถเกิดขึ้นได้จากการบาดเจ็บ แมลงกัดต่อย หรือการอักเสบเฉียบพลัน ทำให้มีเลือดออกในตาได้
เลือดกำเดาไหล: ระบบน้ำตาที่ผลิตและระบายน้ำตาของมนุษย์เชื่อมต่อกับโพรงจมูก เมื่อเรากะพริบตา เปลือกตาของเราจะดันแนวทแยงเล็กน้อยไปทางมุมของดวงตา ซึ่งเป็นตำแหน่งของรอยต่อที่เรียกว่า puncta เป็นรูเล็กๆ ที่น้ำตาจะไหลลงสู่ถุงน้ำตา จากนั้นจึงไหลลงสู่บ่อน้ำตาและเข้าไปในจมูก ซึ่งนี่คือสาเหตุว่าทำไมเราถึงแน่นจมูกเวลาร้องไห้ หากมีเลือดกำเดาไหล มีแรงดันในจมูก หรือบีบจมูก ในขณะที่มีเลือดกำเดาไหล สามารถเลือดไหลย้อนกลับกลับขึ้นไปทางโพรงจมูกได้ และทำให้เลือดไหลย้อนกลับเข้าไปในน้ำตา ทำให้ดูเหมือนว่าน้ำตามีเลือดปน
ผลเสียเมื่อเด็กจ้องดูหน้าจอมากเกินไป
ทุกวันนี้เด็กๆ ใช้เวลามากขึ้นกับการจ้องและจิ้มหน้าจอมือถือ อาจรวมถึง คอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต ทีวี สมาร์ทโฟน และอุปกรณ์อื่นๆ ซึ่งเวลาอยู่หน้าจอทั้งหมดนั้นส่งผลต่อความเป็นอยู่ที่ดีของเด็ก ซึ่งรวมถึงสุภาพของดวงตาด้วย
มีผลการวิจัยที่น่าตกใจ พบว่าในยุคดิจิตัล เด็กๆ เริ่มรู้จักอุปกรณ์สื่อดิจิทัล เช่น แท็บเล็ตหรือสมาร์ทโฟนของพ่อแม่เมื่ออายุน้อยกว่า 6 เดือน จากการศึกษาของวัยรุ่นพบว่า เด็กๆ ใช้เวลาเกือบ 7 ชั่วโมงต่อวันกับสื่อที่มีการฉายภาพยนตร์ ดูทีวี เล่นวิดีโอเกม และใช้โซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าพวกเขากำลังสนุก เด็ก ๆ อาจเล่นและดูจนตาลาย ซึ่งการจ้องหน้าจอเป็นเวลานานโดยไม่หยุดพักอาจทำให้เกิดอาการต่างๆ ได้ เช่น :
ตาเมื่อยล้า : กล้ามเนื้อรอบดวงตาก็เหมือนกับคนอื่นๆ ที่เหนื่อยล้าจากการใช้อย่างต่อเนื่อง การจดจ่ออยู่กับหน้าจอเป็นเวลานานอาจทำให้เกิดปัญหาในการจดจ่อและปวดหัวอยู่ตรงกลางขมับและดวงตา เด็กอาจใช้อุปกรณ์หน้าจอที่มีแสงน้อยเกินในอุดมคติ ทำให้เกิดอาการเมื่อยล้าจากการหรี่ตา
มองเห็นไม่ชัด : การเพ่งมองในระยะเดิมเป็นเวลานานอาจทำให้ระบบโฟกัสของดวงตา กระตุก หรือ “ล็อค” ชั่วคราว ทำให้การมองเห็นของเด็กพร่ามัวเมื่อละสายตาจากหน้าจอ การศึกษาบางชิ้นยังแนะนำว่าการใช้คอมพิวเตอร์และกิจกรรมในร่มระยะใกล้อื่นๆ อาจกระตุ้นให้เด็กสายตาสั้นเพิ่มขึ้น ซึ่งการมีเวลาได้ออกไปวิ่งเล่นนอกบ้านมากขึ้นจะช่วยให้เด็กๆ มีการมองเห็นที่ดีขึ้น
ตาแห้ง : จากการศึกษาพบว่าเรากะพริบตาน้อยลงอย่างมากเมื่อเพ่งความสนใจไปที่หน้าจอดิจิตอล ซึ่งอาจทำให้ตาแห้งและระคายเคืองได้ การใช้คอมพิวเตอร์เดสก์ท็อป และแล็ปท็อปอาจเป็นเรื่องยากสำหรับสายตาของเด็ก ๆ เป็นพิเศษ เนื่องจากโดยปกติแล้วจะอยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่าในการมองเห็นหนังสือ เป็นต้น เป็นผลให้เปลือกตาบนมีแนวโน้มที่จะเปิดกว้างขึ้น เร่งการระเหยของน้ำตาของดวงตาและเป็นเหตุให้ตาแห้ง
วิธีช่วยลูก พักสายตาจากหน้าจอ
การจ้องอยู่กับหน้าจอของเด็กๆ เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในช่วงการระบาดของ COVID-19 ทั้งจากการต้องเรียนออนไลน์ หรือการพักเล่นโทรศัพท์มือถือ อย่างไรก็ตามผู้ปกครองควรพยายามอย่างเต็มที่ เพื่อรักษาสมดุลระหว่างโลกดิจิทัลและโลกแห่งความเป็นจริงสำหรับเด็กๆ วิธีต่อไป
เคลียร์อุปกรณ์ดิจิตอลออกจากห้องนอน : แนะนำให้เด็กไม่นอนกับอุปกรณ์ดิจิตอลในห้องนอน ทั้งทีวี คอมพิวเตอร์ และสมาร์ทโฟน หลีกเลี่ยงการสัมผัสหน้าจอเป็นเวลา 1 ชั่วโมงก่อนเข้านอน การใช้อุปกรณ์ก่อนนอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเล่นวิดีโอเกมหรือรายการที่มีความรุนแรง อาจรบกวนการนอนหลับได้ การศึกษายังชี้ว่าแสงสีฟ้าที่ปล่อยออกมาจากหน้าจออาจทำให้นอนหลับยาก
สนันสนุนให้ลูกออกกำลังกาย : ถ้าเด็กๆ ละจากหน้าจอไปได้ จะช่วยหลีกเลี่ยงปัญหาสายต าและการมองเห็นจากการใช้เวลาอยู่หน้าจอมากเกินไป เด็กอายุ 6 ปีขึ้นไปควรออกกำลังกายอย่างน้อย 60 นาทีในแต่ละวัน การเล่นที่กระฉับกระเฉงถือเป็นการออกกำลังกายที่ดีที่สุดสำหรับเด็กเล็ก การเล่นนอกบ้านอาจเป็น “การออกกำลังกาย” ที่ยอดเยี่ยมสำหรับการมองเห็นของเด็ก โดยทำให้พวกเขามีโอกาสได้โฟกัสในระยะทางที่ต่างกัน และรับแสงแดดธรรมชาติ
กำหนดเวลาพักสายตา : การพักสายตาจากหน้าจอเป็นเรื่องสำคัญต่อสุขภาพดวงตา โดยเฉพาะช่วงนี้ที่เด็กๆ ต่างต้องเรียนออนไลน์อยู่กับหน้าจอทั้งวัน บางครั้งพ่อแม่อาจไม่ทันสังเกตเห็นอาการเมื่อยล้าของดวงตาของเด็กๆ ทางที่ดีควรให้ลูกได้ละสายตาจากหน้าจอทุกๆ 20 นาที เพื่อโฟกัสไปที่วัตถุที่อยู่ห่างออกไปอย่างน้อย 20 ฟุต เป็นเวลาอย่างน้อย 20 วินาที เพื่อให้ดวงตาได้ผ่อนคลาย นอกจากนี้ เด็กควรเดินออกจากหน้าจออย่างน้อย 10 นาที ในทุกชั่วโมง
เตือนลูกให้กระพริบตา : งานวิจัยที่ตีพิมพ์ใน The New England Journal of Medicine กล่าวว่าการจ้องคอมพิวเตอร์สามารถลดอัตราการกะพริบตาลงครึ่งหนึ่งและทำให้ตาแห้ง พ่อแม่ควรกระตุ้นให้บุตรหลานพยายามกะพริบตา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อหยุดพักจากหน้าจอ กุมารแพทย์หรือจักษุแพทย์อาจแนะนำให้ใช้ยาหยอดตาที่ให้ความชุ่มชื้นหรือเครื่องทำความชื้นในห้องหากลูกของคุณยังคงมีอาการตาแห้ง
การวางตำแหน่งหน้าจอ : ตรวจสอบให้แน่ใจว่าหน้าจออยู่ต่ำกว่าระดับสายตาของเด็กเล็กน้อย การที่จออยู่สูงกว่าระดับสายตาขึ้นไปจะทำให้ตาแห้งเร็วขึ้นนอกจากนี้ การปรับขนาดตัวอักษรโดยเฉพาะบนหน้าจอขนาดเล็ก ให้ใหญ่เป็นสองเท่าของที่เด็กอ่านได้อย่างสบายอาจช่วยลดอาการเมื่อยล้าของดวงตาได้
คุมแสงสว่างให้เพียงพอ : เพื่อลดแสงสะท้อนและความล้าของดวงตาควรดูความเหมาะสมของระดับแสงสว่างในห้องให้เพียงพอ แสงที่ดีไม่ควรสว่างมากไปหรือน้อยไป แสงไฟที่อยู่เหนือศีรษะไม่ควรส่องลงบนหน้าจอโดยตรงเพราะจะทำให้ตาทำงานหนักขึ้น นอกจากนี้ควรลดความสว่างของหน้าจอให้อยู่ในระดับที่ดูสบายตายิ่งขึ้น ในกรณีถ้าเด็กต้องใช้หน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นประจำ แว่นตาแบบพิเศษที่มีเลนส์เคลือบป้องกันแสงสะท้อนจะช่วยถนอมสายตาให้เด็กได้ นอกจากนี้ แผ่นกรองแสงหน้าจอก็เป็นตัวเลือกที่ดีในการปกป้องดวงตาจากรังสีและแสงสะท้อนจากหน้าจอได้ เช่นกัน
สุขภาพดวงตาของเด็กๆ เป็นเรื่องที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรมองข้าม เพราะดวงตา คือ อวัยวะสำคัญที่ต้องให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก เมื่อเราให้เหตุผลกับลูกๆ ในจำกัดการใช้หน้าจอ หรือสอนแนวทางปฏิบัติต่างๆ ให้ลูกปลอดภัยจากการใช้สายตา และใช้งานหน้าจอได้อย่างเหมาะสมเพื่อไม่ให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ จะช่วยเสริมสร้างให้เด็กๆ เกิดทักษะความฉลาดที่รอบด้าน ด้วย Power BQ ในด้าน ความฉลาดต่อการมีสุขภาพที่ดี (HQ) ซึ่งเป็นทักษะที่สำคัญอย่างยิ่งในยุคนี้ค่ะ
ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : Natkamol Hanchampa , eyewiki.aao.org , verywellhealth.com , healthychildren.org
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
10 ปัญหา โรคตาเด็ก ที่พบได้บ่อย พร้อมวิธีรักษา
ทารกชอบขยี้ตา ลูกชอบถูหน้าตัวเอง เป็นเพราะอะไร?
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่