ไมโลคิวบ์ Milo Cube กับ 12 ข้อน่ารู้ ที่แม่ๆ ฮิตสั่งซื้อกัน!! - amarinbabyandkids

ไมโลคิวบ์ Milo Cube กับ 12 ข้อน่ารู้ ที่แม่ๆ ฮิตสั่งซื้อกัน!!

event

ไมโลคิวบ์ Milo Cube

10. Milo Cube เป็นช็อคโกแลตก้อนเล็กๆ ที่ทำมาจากไมโลผงนำมาอัดเป็นก้อนให้ทานสะดวก


ไมโลคิวบ์ Milo Cube

11. Milo Cube มีวิธีการกินที่นิยม
⇒ กินเดี่ยวๆ แกะห่อ ใส่ปากเลย ได้รสชาติหนึบๆ เคี้ยวมัน
⇒ เอาใส่นมร้อน แล้วรอละลาย ก็ฟินได้อีกแบบ


ไมโลคิวบ์ Milo Cube

12. ทางบริษัทเนสท์เล่ประเทศไทยยืนยัน ยังไม่ได้นำ Milo Enenergy Cube เข้ามาจำหน่ายในไทย

 

และขอเพิ่มอีก 1 เรื่องคือ คุณเองก็สามารถทำ Milo Cube ได้ด้วยตัวเอง!!

โดยมีชาวโซเชียลส่วนหนึ่งมองว่า ไม่จำเป็นต้องไปเสียเงินซื้อ ไมโลคิวบ์ (Milo Cube) ที่ไม่ได้มีอะไรแตกต่างจากของเดิมซะเท่าไหร่ เพียงแค่นำไมโลผลดิบปกติมาผสมๆ กับนมข้นหวานหรือกับวัตถุดิบอื่นๆ ตามสูตร ก็จะได้ไมโลคิวบ์ของเราเองแล้วเหมือนกัน

Milo Cube ที่อยู่ดีๆก็เป็นของหายาก เอาว่านี่ลองทำเองด้วยไมโลถุงและนมข้นหวานที่มีในบ้านเลย 1.เทไมโลออกมาค่ะ แล้วสาดนมข้น…

โพสต์โดย Cinnamongal.com บน 17 เมษายน 2017

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น สำหรับใครที่เคยกินไมโล จะรู้ว่ารสชาติค่อนไปทางหวานน้ำตาลสูงหากบริโภคเยอะ บางทีถึงกับหวานจนบาดคอ อีกทั้งความหวานหากทานเกินพอดียังเสี่ยงสุขภาพแย่อีกด้วย โดยมีงานวิจัยพบว่า ประเทศไทยกินหวานมากที่สุดในโลก รองจากประเทศบราซิล โดยคนไทย 1 คน กินน้ำตาลถึง 36 กิโลกรัมต่อปี หรือวันละ 25 ช้อนชา โดยปกติแล้วเราไม่ควรกินน้ำตาลเกิน 9-10 กิโลกรัมต่อปี หรือ 6 ช้อนชาต่อวัน

การบริโภคน้ำตาลเพียงเล็กน้อย ถือว่าปกติ เพราะน้ำตาลจะช่วยกระตุ้นการทำงานของสมอง และให้พลังงานแก่ร่างกายแต่การกินน้ำตาลมากเกิน ไม่ใช่เรื่องดี เพราะมันจะไปทำร้ายร่างกาย เนื่องจากน้ำตาลประกอบด้วยสารที่ให้พลังงานสูง แต่ไร้สารอาหารที่เป็นประโยชน์ ปราศจากโปรตีน ไขมันดี วิตามิน แร่ธาตุ หรือเอนไซม์ต่างๆ ดังนั้น หากกินหวานมากไป จะต้องเจอ 12 โรคร้ายนี้อย่างแน่นอน 1. เสี่ยงโรคหัวใจ 2. ฟันผุ 3. ตับทำงานหนัก 4. ไขมันพอกตับ 5. อินซูลินทำงานผิดปกติ 6. เป็นเบาหวานชนิดที่ 2,7. อาจทำให้เป็นมะเร็ง 8. อายุสั้น 9. เสพติดรสหวาน 10. แก่ก่อนวัย 11. เป็นโรคอ้วน 12. น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ กองโภชนาการ กรมอนามัยได้มีการแนะนำปริมาณน้ำตาลที่เหมาะสมต่อวันดังนี้ เด็กอายุ 6-13 ปี ควรบริโภคน้ำตาลไม่เกิน 4 ช้อนชา, วัยรุ่นหญิง-ชาย 14-25 ปี ควรบริโภคน้ำตาลไม่เกิน 6 ช้อนชา, ผู้ชายวัยทำงาน 25-60 ปี ควรบริโภคน้ำตาลไม่เกิน 6 ช้อนชา, ผู้หญิงวัยทำงาน 25 – 60 ปี ควรบริโภคน้ำตาลไม่เกิน 4 ช้อนชา, ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ควรบริโภคน้ำตาลไม่เกิน 4 ช้อนชา, คนที่ใช้พลังงานมาก อย่างเช่น เกษตรกร ผู้ใช้แรงงาน นักกีฬา ควรบริโภคน้ำตาลไม่เกิน 8 ช้อนชา

ซึ่งน้ำตาลแทบไม่มีประโยชน์เลย เพราะน้ำตาลคือคาร์โบไฮเดรต ซึ่งปกติเราทานอาหารพวกคาร์โบไฮเดรตจากแหล่งอื่นๆ เช่น แป้ง ข้าว ก๋วยเตี๋ยว ขนมปัง พวกนี้จะถูกเปลี่ยนเป็นน้ำตาลอยู่แล้ว การกินน้ำตาลเพิ่มจากในอาหารปกติ แค่วันละไม่เกิน 6 ช้อนชา น้ำตาลก็จะถูกเผาผลาญไปเป็นพลังงานแบบพอดี

อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิก!


ขอบคุณข้อมูลจาก :
Facebook เพจ ผู้บริโภค , Cinnamongal.com , www.bugaboo.tv , www.manager.co.th ,
www.minimeinsights.com

ขอบคุณภาพจาก : Xavier Lur (@xavierlur) | Twitter , www.11street.my , EDTguide

เรื่องที่คนอ่านมากสุด

keyboard_arrow_up