เทรนด์ฮิตแม่ยุคใหม่! “ฝากไข่” เพื่อมีลูกในอนาคต

Alternative Textaccount_circle
event

 

 

แพทย์หญิงนิศารัตน์ สุนทราภา ผู้อำนวยการแพทย์ฝ่ายวิชาการ ศูนย์ซูพีเรีย เอ.อาร์.ที. ศูนย์รักษาผู้มีบุตรยาก และวินิจฉัยพันธุกรรมตัวอ่อนกล่าวว่า ปัจจุบันผู้หญิงส่วนใหญ่จะทุ่มเทเวลาให้การทำงาน การท่องเที่ยว และหวงแหนการใช้ชีวิตโสดจนลืมคิดเรื่องการมีครอบครัวและมีลูก ซึ่งในปัจจุบันพบว่าผู้หญิงแต่งานช้าลงจากเดิมมาก เฉลี่ยอายุ 35 ปี ถึงจะยอมแต่งงานมีครอบครัว เมื่อแต่งงานช้า ความสมบูรณ์ของร่างกายก็จะค่อย ๆ ลดลง ทำให้มีลูกยาก ดังนั้นสาวโสดยุคใหม่ จึงนิยมเลือกการฝากไข่เพื่อจะได้สามารถโฟกัสในการทำงานโดยไม่ต้องพะวงเรื่องภาวะมีบุตรยากในอนาคต เนื่องจากเมื่ออายุมากขึ้นความสมบูรณ์ของไข่จะลดลงไปตามอายุด้วย โดยตั้งแต่แรกเกิดที่เราอยู่ในท้องแม่จะมีไข่อยู่ในร่างกายประมาณ 6-7 ล้านใบและปริมาณจะค่อย ๆ ลดลงเรื่อย ๆ ตามอายุที่มากขึ้น แต่เมื่ออายุมากขึ้นความสมบูรณ์ของไข่และจำนวนของไข่ในร่างกายจะลดลงมาก หรือบางคนที่อายุมากขึ้นก็อาจจะมีไข่ตกบ้าง และไข่ไม่ตกบ้างในบางเดือน เพื่อลดปัญหาความกังวลต่างๆ สาวโสดจึงเลือก “วิธีฝากไข่” เปรียบเสมือนการซื้อประกันสุขภาพสำหรับอนาคต นั่นเอง

ฝากไข่

วิธีการก็คือ การที่ผู้หญิงสามารถเก็บเซลล์สืบพันธุ์หรือที่เรียก “ไข่” โดยนำมาแช่แข็งเอาไว้ในอุณหภูมิที่เย็นจัด-196 องศาเซลเซียส ซึ่งการเก็บไข่จะสามารถเก็บได้ตามปริมาณไข่ต่อรอบเดือนที่มีอยู่ในผู้หญิงของแต่ละคน โดยเฉลี่ยแล้วจะอยู่ที่ครั้งละประมาณ 10-15 ใบ แต่สำหรับผู้หญิงที่มีจำนวนไข่มากอาจเก็บได้มากถึง 20-30 ใบได้ ขึ้นอยู่กับความแข็งแรงของร่างกายแต่ละคน อายุการเก็บอยู่ที่ 5-6 ปีค่ะ
ช่วงอายุที่เหมาะสมในการฝากไข่ คือ อายุต่ำกว่า 35 ปี เพื่อให้ได้ไข่ที่มีความสมบูรณ์ มีคุณภาพ และมีจำนวนที่เพียงพอต่อการฝากหรือทำในครั้งเดียว” ผู้ชี่ยวชาญแนะ

พญ.นิศารัตน์ ยังกล่าวอีกว่า การฝากไข่ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ทำให้ความเสี่ยงต่าง ๆ ลดลง ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการมีลูกยาก หรือมีลูกเป็นดาวน์ซินโดรม เพราะการฝากไข่ไม่ใช่แค่สาวโสดเท่านั้นที่ทำได้ แต่ในกรณีของคนไข้ที่ป่วยเป็นโรคร้ายแรง อาทิ โรคมะเร็ง ก็สามารถฝากไข่ได้เช่นกัน

ทำความรู้จักกับธนาคารไข่ได้ที่หน้า 3 >>


เครดิต: กรุงเทพธุรกิจ

เรื่องที่คนอ่านมากสุด

keyboard_arrow_up