สิ่งดีที่เกิดขึ้นนั้นมีอะไรบ้าง เราไปฟังจากปากพี่จี๊ด คุณสุธาทิพย์ ธัชยพงษ์ ผู้อำนวยการ ดรุณบรรณาลัย ห้องสมุดเด็กปฐมวัย กันดีกว่าค่ะ ทั้งนี้ก่อนหน้าที่พี่จี๊ดจะเป็นผู้อำนวยการดรุณบรรณาลัย พี่จี๊ดอยู่กับมูลนิธิหนังสือเพื่อเด็ก ซึ่งจัดโดยสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทยมาก่อน ซึ่งมูลนิธินี้ก่อตั้งมา 15-16 ปีแล้ว และได้มีการริเริ่มเอาโครงการ Book start หนังสือเล่มแรกมาใช้ นั่นคือให้พ่อแม่ใช้หนังสือภาพอ่านให้ลูกฟังตั้งแต่อายุ 6 เดือนโดยเป็นการอ่านอย่างต่อเนื่อง สำหรับโครงการนี้เริ่มจากประเทศอังกฤษก่อน แล้วค่อยขยายไปที่ญี่ปุ่น และอีกหลายๆประเทศ ซึ่งการที่ประเทศนั้นๆ จะทำ Book start ได้ต้องประกอบไปด้วย 3 สิ่งนี้ คือ
1. หน่วยงานที่จัดหนังสือเพื่อแจก ส่วนใหญ่มักเป็นสถานอนามัยหรือโรงพยาบาล เพราะว่าการแจกถุงนั้นทำได้ตอนที่คุณพ่อคุณแม่พาลูกไปฉีดวัคซีน
2. เกณฑ์อายุก็แล้วแต่ว่าประเทศนั้นให้ที่อายุเท่าไหร่ เช่น ประเทศอังกฤษ 7 เดือน ประเทศญี่ปุ่น 4 เดือน ส่วนประเทศไทย 6 เดือน (เลี้ยงลูกด้วยนมแม่จบก็ต่อด้วย Book start เลย)
3. ห้องสมุดเด็ก เมื่อมีการให้หนังสือ Book start ครั้งแรกแล้ว เขาสามารถไปต่อยอดสามารถยืมต่อจากห้องสมุดได้ แต่เมืองไทยขณะนั้นยังไม่มี
จนปี 2558 ได้มีการริเริ่มห้องสมุดเด็กขึ้นมา โดยเป็นการจัดสร้างเพื่อเฉลิมฉลองสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารที่พระชนมพรรษาครบ 60 พรรษา ซึ่งได้รับคำแนะนำจากคุณหมอพรรณพิมล วิปุลากร ผู้อำนวยการสถาบันราชานุกูล ว่าที่กรมสุขภาพจิตตรงวัดม่วงแค ซอยเจริญกรุง 34 มีบ้านโบราณสมัยรัชกาลที่ 6 ของตระกูลศรียาภัยอยู่ ทางมูลนิธิจึงสนใจและรีโนเวทขึ้นมาใหม่โดย บริษัท แปลนอาคิเทค ให้กลายเป็น ดรุณบรรณาลัย ห้องสมุดปฐมวัยสำหรับเด็ก วัย 0-7 ขวบ เป็นแห่งแรก ซึ่งมีหนังสือที่เหมาะสำหรับเด็กทุกประเภท
พี่จี๊ดเล่าให้เราฟังต่ออีกถึง วิธีการอ่านหนังสือให้ลูกฟัง “ เราจะพยายามบอกคุณพ่อคุณแม่เสมอว่า ให้อ่านหนังสือกับลูกครั้งละ 5-15 นาทีก็พอใน 1 วัน จะเป็นช่วงไหนยังไงก็ได้ เพื่อให้ต่อเนื่อง ซึ่งวิธีการอ่านเราเน้นย้ำให้คุณพ่อคุณแม่อ่านชี้ไปตามตัวอักษร เพื่อให้เด็กได้ยิน แล้วมองภาพตาม เหมือนเป็นการบันทึกทั้งภาพทั้งคำศัพท์ ทั้งนี้เราก็ได้มีการทำวิจัยกลุ่มเป้าหมาย 106 ครอบครัว ทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด แล้วก็พบว่าแค่อ่านต่อเนื่อง 1 สัปดาห์แรก เมื่อเด็ก 6 เดือน เห็นหนังสือก็คลานเข้าไปหาเลย ซึ่งเหล่านี้ถือเป็นความสุขร่วมกันพ่อแม่ลูกโดยใช้หนังสือเป็นสื่อกลาง และทั้งนี้การที่เด็กชอบหนังสือก็เปลี่ยนพฤติกรรมพ่อแม่ได้ด้วย ยกตัวอย่างเช่น ครอบครัวหนึ่งในซอยเสือใหญ่อุทิศ คุณพ่อทำอาชีพเป็นมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ปกติกว่าจะกลับบ้านก็มืดค่ำเพราะไปกินเหล้ากับเพื่อน พอเริ่มโครงการ Book Start ได้อ่านหนังสือให้ลูกก็ติดใจ แทนที่จะไปกินเหล้าเหมือนเดิมก็ต้องรีบกลับมาอ่านหนังสือให้ลูกฟัง คือเรามีถุงหนังสือแจกให้เขา อ่านเสร็จก็แขวนไว้ที่เดิม เพื่อฝึกความเป็นระเบียบวินัยไปด้วยในตัว แล้วเวลาลูกเห็นเขาก็จะคลานไปหาถุงหนังสือเพื่อให้พ่อก็อ่านให้เขาฟัง
นอกจากกรณีนี้แล้ว คุณ ตุ๊บปอง นักแต่งนิทานชื่อดัง ซึ่งอยู่ในทีมที่ทำ Book start เหมือนกัน ก็เล่าให้ฟังว่ามีครอบครัวหนึ่ง แม่เป็นชาวเขาพ่อเป็นคนไทย พ่อต้องอ่านหนังสือให้ลูกฟังทุกวัน ทีนี้แม่กลัวว่าลูกจะรักพ่อมากกว่าก็เลยไปเรียนภาษาไทยด้วย เพื่อที่จะอ่านให้ลูกฟัง จากคนที่ภาษาไม่ดีก็ได้พัฒนาภาษาไปในตัว เห็นไหมว่า การอ่านเพียงแค่วันละ 15 นาทีช่วยให้ชีวิตของเราเปลี่ยนไปในทางที่ดีได้จริง ๆ”
ชวนเด็กอ่านกันแค่วันละ 15 นาที กับโครงการส่งความรู้สร้างความสุขปี 2 !
ตอนนี้มีโครงการส่งความรู้ สร้างความสุข ปี 2 ที่ช่วยกระจายหนังสือไปสู่เด็กๆ ในโรงเรียนทั่วประเทศกว่า 57 โรงเรียน ได้มีโอกาสอ่านหนังสือดีๆ และยังได้ฝึกเขียนบันทึกรักการอ่านอีกด้วย จึงอยากฝากคุณพ่อคุณแม่ลองดูสิว่า โรงเรียนของลูกเรามีโครงการนี้หรือไม่ หากมีอย่าลืมแนะนำลูกเข้าชมรมรักการอ่าน และชวนลูกอ่านหนังสือแค่วันละ 15 นาที หรือจะอ่านหนังสือให้ลูกฟังก็ได้ เท่านี้ลูกรักก็จะมีพัฒนาการและการเรียนรู้ที่ดีมากขึ้นแน่นอน
ติดตามช่าวความเคลื่อนไหวและร่วมสนับสนุนโครงการฯ ได้ทาง FB Fanpage : thehappyread และ www.thehappyread.com ร่วมส่งต่อความรู้โดย (โลโก้) ส่งต่อความรู้มอบหนังสือให้เด็กๆกับโครงการ ส่งความรู้สร้างความสุข ปี 2