มารีนปาร์ค
แบ่งออกเป็นสองโซนใหญ่ๆ โซนแรกประกอบไปด้วยกิจกรรมมากมาย พวกเราจะสามารถเดินจนทั่วบริเวณได้ภายใต้หมอกไอน้ำเย็นสบาย กิจกรรมหลักๆ ของโซนนี้แบ่งออกเป็นโชว์ 7 อย่าง ได้แก่ ลิงอุรังอุตัง สิงโตทะเล ช้าง คาวบอยสตั้นท์ โลมา สงครามจารกรรม และโชว์นกสวยงาม แต่ละโชว์จะมีขึ้นเพียงวันละหนึ่งรอบเท่านั้น ( มีเอกสารให้เช็ครอบที่โน่นเลยค่ะ ไม่ต้องห่วง )
นอกจาก 7 โชว์หลักแล้ว ทั่วทั้งพื้นที่หลายร้อยไร่ของซาฟารีเวิลด์ยังถูกใช้ให้คุ้มค่าด้วยนานาสัตว์หลากชนิดซึ่งอยู่กันอย่างเป็นธรรมชาติจนมนุษย์ต้องอิจฉา แซมด้วยจุดเด่นสำคัญไม่ให้ขาดตลอดทาง ไม่ว่าจะเป็นศาลาเลี้ยงยีราฟอุ่นเครื่องก่อนเข้าไปในซาฟารีปาร์ค ที่ไม่ใช่แค่ยีราฟ 2 ตัว 4 ตัวให้เราพอได้ถ่ายรูป แต่ยีราฟที่นี่จะกรูเข้าหาเราเต็มที่เป็นฝูงใหญ่ เด็กๆ จะได้ป้อนอาหารอย่างใกล้ชิด แม้แต่ผู้ใหญ่ก็ยังตื่นเต้นทุกทีที่ได้เจอ
หรือจะเป็นวอลรัสตัวอ้วนพุงพลุ้ยใกล้บริเวณโชว์ช้างที่รอให้เราไปทักทาย นกและสัตว์ตัวเล็กๆ น่ารักในมินิเวิลด์ก็ให้ความรู้สึกเหมือนเราหลงเข้าไปในเมืองคนแคระ ส่วนขยายใหม่อย่างไวท์เวิลด์ที่ประกอบด้วยสัตว์สีขาว 3 ประเภทคือหมีขาว เสือขาว และสิงโตขาวก็เปิดโลกทัศน์ให้เราตื่นตา นอกจากนี้ส่วนประกอบอื่นๆ เช่น ศูนย์อาหารริมน้ำที่สามารถให้อาหารหงส์ตัวสวยที่ว่ายผ่านมา ลานของเล่นที่สนุกได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ไอศกรีมและเครื่องดื่มจากแบรนด์ Sfree เหล่านี้ล้วนช่วยเติมวันพักผ่อนของเราให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
เอ็กส์เวิลด์
แม้จะเปิดใหม่ได้ไม่นานแต่ก็คาดว่าจะเป็นที่นิยมในไม่ช้า นั่นก็คือส่วนของ “Eggs World” ฟังจากชื่อแล้วคงรู้ว่าเกี่ยวกับไข่อย่างแน่นอน แต่นี่ไม่ใช่เมืองไข่ธรรมดา เพราะมันเกิดขึ้นจากความตั้งใจให้เป็นศูนย์การเรียนรู้อันสำคัญยิ่งต่ออนาคตของชาติ ภายในอาคารนี้นำเสนอห้องปฏิบัติงานจริงในการดูแลไข่ของนกพันธุ์ต่างๆ เป็นกระบวนการฟักไข่ของจริงตั้งแต่วันแรก แบ่งห้องวิจัยออกตามอายุของลูกนก
เสริมข้อมูลด้วยบอร์ดที่ให้เกร็ดเล็กๆ น้อยๆ ตลอดทาง มีนิทรรศการภาพลูกนก และไข่หลากหลายสายพันธุ์จากหลายที่ มีไข่ที่ใหญ่ที่สุดและเล็กที่สุดในโลกไว้ให้เด็กๆ ได้เรียนรู้ หรือจะเป็นโมเดลไข่ใบยักษ์แสดงรูพรุนจำนวนมหาศาลเกินคาดเดานั้นที่นี่ก็ไม่พลาดที่จะนำเสนอ ก่อนจะออกจากเอ็กส์เวิลด์มีดีวีดีสารคดีสรุปและอธิบายทุกขั้นตอน เหมาะกับเด็กนักเรียนและผู้สนใจ หากแต่ต้องสังเกตที่ตั้งกันสักหน่อย เพราะอาคารนี้จะอยู่หลังโชว์ช้างและตั้งตัวอยู่เงียบเชียบจนเราแทบจะหาไม่เจอ
ล่องเรือป่าดิบชื้น
อีกหนึ่งส่วนที่ได้รับการปรับเปลี่ยนให้ใกล้เคียงกับธรรมชาติและได้อารมณ์เสมือนจริงอันเป็นจุดประสงค์ใหญ่ที่ต้องการให้ผู้เข้าชมได้ความสุขกลับไปมากที่สุด จังเกิลครุยส์จึงลึกลับและเงียบเชียบเหมาะแก่การไปนั่งพักและสัมผัสบรรยากาศป่าดิบชื้นอย่างที่เห็นในหนัง นับตั้งแต่เริ่มต้นออกเดินทางก็สร้างความตื่นเต้นได้ไม่น้อย คล้ายเสียงอันลึกลับจากข้างในกำลังรอให้เราเข้าไปเสียที แต่คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องกังวล เพราะไม่มีอะไรน่ากลัวเกินไปสำหรับเด็กๆ เพียงแค่เรานั่งข้างๆ และคอยพูดคุยอธิบายสิ่งละอันพันละน้อยให้เขาฟัง ก็จะเป็นช่วงเวลาเต็มความอบอุ่นรวมถึงอาหารสมองให้ลูกได้เป็นอย่างดีค่ะ
ซาฟารีปาร์ค
ส่วนสำคัญที่หากไม่เข้าไปก็คงเหมือนมาไม่ถึง สวนสัตว์เปิดส่วนนี้ให้เข้าชมได้ทั้งจากรถส่วนตัวและรถโคชของที่นี่ ( ค่าบริการท่านละ 30 บาท ) ระยะทาง 5 กิโลเมตรประกอบไปด้วยสัตว์นานาพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็นยีราฟฝูงใหญ่ นกกระจอกเทศ อูฐ แรด ม้าลาย วาตุซี่ นิลไก กระทิง รวมไปถึงส่วนของสัตว์ดุร้ายอย่างเสือ สิงโต หรือหมีควาย เราจะได้อยู่ใกล้ชิดกับสัตว์โดยมีเพียงกระจกกั้น เหล่าสัตว์ป่าจะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างเป็นอิสระ ทั้งนกทั้งม้าลายจะอยู่ด้วยกันอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย เป็นการสัมผัสบรรยากาศทุ่งกว้างอัฟริกาได้ง่ายๆ ในเมืองไทย ระยะเวลาประมาณ 35 นาทีอาจสั้นไปสำหรับคุณหนูๆ จนต้องกลับมาอีกสักหลายๆ รอบ
คุณพ่อคุณแม่อย่าลืมเตรียมพร้อมพกหมวกไปเผื่อเด็กๆ ในวันที่อากาศร้อน รวมถึงร่มในวันที่ฝนอาจจะตก มีข้อแนะนำว่าให้เดินในส่วนของมารีนปาร์คกันจนเมื่อยหนำใจ แล้วค่อยไปต่อด้วยรถโคชแอร์เย็นๆ เพื่อผ่อนคลายก็จะเป็นการดี หรือถ้าใช้รถส่วนตัวยิ่งสบายใหญ่ ออกจากส่วนซาฟารีปาร์คแล้วจะขับกลับบ้านเลยก็ได้ไม่ว่ากัน
ที่ตั้ง : ซาฟารีเวิลด์ เลขที่ 99 ถนนปัญญาอินทรา แขวงสามวาตะวันตก เขตคลองสามวา กรุงเทพฯ สอบถามรายละเอียดได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 0-2518-1000-19 เว็บไซต์ www.safariworld.com
บทความโดย : กองบรรณาธิการนิตยสารเรียลพาเรนติ้ง