เผยเคล็ดลับ

เผยเคล็ดลับ! วิธีสอนภาษาอังกฤษลูก ให้เก่ง โดยไม่ต้องเรียนพิเศษ

event
เผยเคล็ดลับ
เผยเคล็ดลับ

วิธีสอนภาษาอังกฤษลูก

หากพ่อแม่ไม่เก่งภาษาอังกฤษ

สิ่งสำคัญเลยสำหรับพ่อแม่ที่ไม่เก่งภาษา แต่คุณสามารถสอนลูกได้โดยที่ต้องทำการบ้านกันก่อน ซึ่งลูกน้อยอายุ 1-3 ขวบ คุณพ่อคุณแม่ยังไม่ต้องสอนไวยากรณ์ซับซ้อน ไม่ต้องถึงชั้น Past Perfect Tense แตกต่างจาก Future Perfect Tense ใด ๆ ทั้งนั้น

ดังนั้นเมื่อรู้ว่าจะอ่านคำศัพท์อะไรกับลูก คุยอะไรกันบ้าง กีฬาการบ้านไว้ก่อนซ้อมเยอะ ๆ อ่านเยอะ ๆ ถึงจะเป็นเรื่องง่าย ๆ แต่ก็ไม่ต้องการให้ใส่ข้อมูลหรือสิ่งที่ผิดเข้าไป และสิ่งสำคัญที่ขอย้ำก็คือ เด็ก ๆ วัยนี้การเรียนรู้จะเกิดขึ้นเมื่อเขารู้สึกปลอดภัย มีความสุข และสนุกเท่านั้น ถ้าไม่มี 3 สิ่งนี้ สอนไปก็ไม่ได้ประโยชน์

⇒ Must read : เทคนิคการสอนคำศัพท์ภาษาอังกฤษ ให้ลูกจำง่าย ด้วยการวาดรูป (มีคลิป)

เพราะปัจจัยสำคัญในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ คือ ควรทำให้เด็กมีเจตคติที่ดีต่อภาษาอังกฤษ ถ้าเด็กเรียนอย่างสนุกสนาน ชอบกิจกรรม อยากไปโรงเรียน นั่นหมายความว่า เด็กเริ่มมีเจตคติที่ดีต่อภาษาอังกฤษแล้ว ดังนั้น เมื่อเด็กเรียนสนุก ใจชอบที่จะเรียน อะไรๆ ก็ง่ายไปหมด

เคล็ดลับสนุกกับภาษาอังกฤษ

การจะพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษให้ลูกน้อย คุณพ่อคุณแม่สามารถช่วยพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษได้หลายทาง ซึ่งเคล็ดลับง่ายๆ เริ่มได้ที่บ้าน ตั้งแต่ทารกอยู่ในครรภ์ ทารกมีพัฒนาการในการได้ยินเมื่ออยู่ในครรภ์ประมาณสัปดาห์ที่ 14-20 และเมื่อลูกคลอดออกมา หรือเข้าสู่วัยที่กำลังหัดพูและรู้ภาษามากขึ้น คุณพ่อคุณแม่มี วิธีสอนภาษาอังกฤษลูก ให้เก่งได้ ดังนี้

  1. ปิดทีวี เพราะทีวี ถือว่าเป็นการสื่อสารทางเดียว ภาพที่เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ทำให้เด็กจดจ่อ คุณพ่อคุณแม่มักคิดว่าทีวีช่วยให้เด็กมีสมาธิดี จึงจัดให้ทีวีเป็นเหมือนพี่เลี้ยงเด็กอันดับหนึ่งโดยลืมไปว่าแท้จริงแล้วภาพที่เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ทำให้เด็กมีสมาธิสั้น เด็กเล็กๆ ต้องการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ปกครองและการพูดคุยกับคนที่รัก ทีวีเป็นสิ่งที่ทำให้ทักษะต่างๆ รวมถึงพัฒนาการทางการฟังและการพูดของเด็กช้าลง เพราะทีวีเป็นการสื่อสารทางเดียว
  2. ตัดสิ่งที่เป็นอุปสรรคต่อการพูดออกไป ได้แก่ ขวดนม การให้ลูกกินนมและขวดนมคาอยู่ที่ปากตอนนอน ทำให้มีผลเสียต่อฟันและอาจให้ทำติดเชื้อที่หูได้
  3. เล่นกับลูก พูดคุยเล่าเรื่องที่น่าสนใจให้ลูกฟัง ฟังเมื่อลูกพูด เล่นบทบาทสมมติ เล่นของเล่นกับลูก พยายามเพิ่มคำศัพท์ต่างๆ ให้ลูกขณะที่เล่น
  4. เพิ่มพูนภาษาให้ลูกไม่ต้องให้ลูกพูดตามที่เราพูด แต่ในขณะที่มองดูสิ่งต่างๆ รอบตัว ให้เราสร้างเป็นประโยค มีประธาน กิริยา และกรรม เด็กๆ จะเรียนรู้จากสถานการณ์นั้นและจำได้จนสามารถนำไปใช้ได้เมื่อต้องเผชิญในสถานการณ์นั้นๆ อีก
  5. ขยายคำศัพท์ให้ลูกเมื่อลูกเริ่มพูด เพิ่มคำศัพท์ให้ลูกมากขึ้นโดยเพิ่มคำคุณศัพท์ หรือขยายความ เช่น เมื่อลูกพูดว่ารถ เราตอบลูกว่า ใช่รถคันใหญ่สีแดง วิ่งเร็วผ่านเราไปใช่มั้ยจ๊ะ?
  6. หนังสือ หนังสือ และหนังสือ งานวิจัยยืนยันว่าการเริ่มอ่านหนังสือให้ลูกฟัง เมื่อลูกอายุยังน้อยจะช่วยให้ลูกมีพัฒนาการด้านการฟังและการอ่านได้ดีเมื่อเปรียบเทียบกับเด็กที่ไม่ได้อ่าน ไม่ใช่เพียงแค่เล่าเรื่อง แต่ตั้งคำถาม โต้ตอบกับลูก ผลัดกันเล่า ดูภาพและอธิบายประกอบให้น่าสนใจ
  7. ใช่เสียงเพลงเข้าช่วย เพลงประกอบด้วยคำคล้องจอง จังหวะ และเสียงสูงและต่ำ เด็กๆ จะเรียนรู้ภาษา คำศัพท์ ความรู้สึกอารมณ์เพลง เป็นการเรียนรู้โดยการใช้คำประกอบกับท่าทาง การเคลื่อนไหวร่างกาย กล้ามเนื้อใหญ่ กล้ามเนื้อเล็ก และทำให้เด็กสนุกและเป็นการเรียนรู้ภาษาที่ดีทางหนึ่ง
  8. สร้างจุดสนใจเมื่อไปยังสถานที่ต่าง ๆ กับลูก พูดและคุยถึงสิ่งต่างๆที่เรามองเห็น ชี้ชวนและพูดถึงสิ่งต่างๆ ให้ลูกเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งของที่เห็นกับคำศัพท์ต่างๆ ที่เรียนรู
  9. ใช้กิจกรรมประจำวัน หมายความว่าให้เราใช้กิจวัตรประจำวันที่ทำ เป็นโอกาสในการสอนภาษา เมื่อไปสั่งอาหารที่ร้านอาหาร ไปซื้อของที่ซูเปอร์มาร์เก็ต ขณะขับรถ หรือทำอาหารในครัว เมื่อเราเห็นอะไร ชี้ชวนและพูดคุยกับลูก เด็กๆจะเรียนรู้ภาษา คำศัพท์ในขณะที่ทำกิจกรรมนั้นๆ
  10. เป็นตัวอย่างที่ดี อย่าพยายามแก้ไขหรือตำหนิลูก เมื่อลูกพูดผิดแต่ควรพูดคำที่ถูกต้องเป็นตัวอย่างให้ลูกแทน โดยพ่อแม่ต้องเข้าใจและเป็นกำลังใจไม่ล้อเลียนเมื่อลูกพูดติดขัด หรือติดอ่าง

สำหรับวิธีสอนภาษาอังกฤษลูก และใช้เวลาใกล้ชิดกับลูกในช่วงวัยเล็กเป็นสิ่งที่สำคัญ ยิ่งการพูดคุยทำกิจกรรมด้วยกันถือเป็นประสบการณ์ที่จะฝังอยู่ในความทรงจำของเด็กๆ ตลอดชีวิตของเขา ดังนั้นพ่อแม่และคนในบ้านก็ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ลูกเก่งภาษาอังกฤษได้ ซึ่งสามารถทำได้ง่าย ๆ เพียงสร้างลูกให้เป็นนักพูด นักสำรวจ และนักผจญภัยท่องโลกผ่านการอ่าน เพื่อพัฒนาภาษา เท่านี้ก็ก็สามารถสร้างลูกให้เป็นอัจฉริยะได้แล้วล่ะค่ะ

อ่านต่อ “บทความดี ๆ น่าสนใจ” คลิก!


ขอบคุณข้อมูลจาก : www.manager.co.th , www.manager.co.th/family

เรื่องที่คนอ่านมากสุด

keyboard_arrow_up