คุณแม่ท่านนี้ต้องคอยตอบคำถามและอธิบายกับลูกคนโตว่า ทำไมคุณแม่ถึงอุ้มเขาไม่ได้ ทุกอย่างเป็นเพราะน้องหรือ? โดยคุณแม่เล่าว่า
ตอนนั้นลูกคนโตมีอายุได้ 2 ขวบ พอทราบว่าตัวเองท้องก็กลัวและกังวลในหลาย ๆ เรื่องโดยเรื่องแรกก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับนมแม่ เนื่องจากคนโตยังกินนมแม่อยู่ ปรึกษาคุณหมอ ๆ ก็บอกว่ากินได้ แต่กลัวว่าขณะที่ลูกดูดนมนั้น มดลูกก็อาจจะบีบรัดตัวซึ่งอาจจะส่งผลกับทารกในครรภ์ได้ อีกทั้งกลัวว่า ถ้าน้องออกมาแล้วลูกคนโตจะมาแย่งดูดด้วย ดังนั้นจึงตัดสินใจหย่านมลูกคนแรกเลย
ส่วนเรื่องที่สองที่ไม่สบายใจก็คือ คุณแม่ไม่สามารถอุ้มลูกคนโตได้เหมือนเมื่อก่อน เขาก็มักจะคอยถามว่า เป็นเพราะอะไร ทำไมถึงอุ้มเขาไม่ได้ คุณแม่ก็ต้องคอยอธิบายให้เขาเข้าใจว่าเขากำลังจะมีน้อง และก็หมั่นคอยให้เขาพูดคุยกับน้องและฟังเสียงหัวใจน้องผ่านเครื่องช่วยฟัง พอเวลาไปหาหมอก็จะพาไปด้วยทุกครั้ง เรียกได้ว่าเป็นการปลูกฝังความสัมพันธ์ให้กับเขาไปในตัว
พอน้องคลอดคุณแม่ก็จะเตรียมของขวัญไว้ให้ลูกคนโตหนึ่งชิ้นพร้อมกับบอกว่า น้องเกิดมาแล้วและน้องก็มีของขวัญมาฝากพี่ด้วยนะ แค่นี้เขาก็ดีใจและไม่ต่อต้านน้องอีกเลย อาจจะมีบ้างที่เรียกร้องความสนใจจากคุณแม่ในช่วงแรก ๆ แต่ตอนนี้รักและหวงน้องมากค่ะ คอยช่วยเอาผ้าอ้อมไปทิ้ง เช็ดน้ำลายน้อง ซึ่งลูกคนเล็กตอนนี้อายุ 3 เดือนแล้ว ทั้งคู่รักกันดี คุณแม่นี่ปลื้มใจมาก ๆ เลยละค่ะ
ทั้งนี้การไม่อุ้มลูกอาจจะไม่ได้ส่งผลกับพัฒนาการเด็กโดยตรง แต่เป็นการช่วยให้เด็กได้มีพัฒนาการและใช้แขนขาของตัวเองให้มากขึ้น แต่แน่นอนค่ะว่ามันมีผลกับจิตใจของลูก คุณหมอจึงแนะนำให้คุณพ่อคุณแม่ปรับสมดุล อุ้มบ้างในบางครั้งเพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับลูกได้รู้ว่าเรายังรักเขาอยู่เหมือนเดิม ส่วนกิจกรรมที่เคยทำกับลูกก็ยังคงต้องทำอยู่ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้เช่นกัน
เป็นอย่างไรกันบ้างคะกับสามเรื่องราวประสบการณ์บอกเล่าจากคุณแม่ที่ต้องคอยรับมือกับลูกคนโตที่มักจะคอยคิดว่า “แม่ไม่รัก” เขาแล้ว อย่างไรลองนำวิธีการเหล่านี้ไปปรับใช้กันดูนะคะ
อ่านเรื่องอื่น ๆ ที่น่าสนใจ:
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่