เรามักคิดกันว่าโรคไข้หวัดใหญ่ระบาดเฉพาะหน้าฝน แต่ความจริงแพร่ระบาดได้ตลอดทั้งปีและทุกกลุ่มอายุ ผู้ป่วยบางรายมีอาการเพียงเล็กน้อย แต่บางรายมีอาการรุนแรงต้องเข้าโรงพยาบาล และมีจำนวนไม่น้อยมีภาวะแทรกซ้อนรุนแรงจนเสียชีวิต
รู้จักโรคไข้หวัดใหญ่
จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO) ประเทศไทยมีผู้ป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ในแต่ละปีประมาณ 50,000 คน ในปีที่มีการระบาดมากจะพบได้ถึง 70,000 คน
อาการจะรุนแรงกว่าไข้หวัดปกติ และมีความเสี่ยงต่ออาการโรคประจำตัวกำเริบและภาวะแทรกซ้อน ซึ่งรวมถึงภาวะปอดบวม หลอดลมอักเสบ หรือมีผลกระทบรุนแรงต่อระบบหัวใจ หลอดเลือด และระบบประสาทจนถึงขั้นเสียชีวิตได้
โรคไข้หวัดใหญ่เกิดจาก?
โรคไข้หวัดใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ (Influenza Virus) ซึ่งมีอยู่ 3 สายพันธุ์ คือ A, B และ C
- ไวรัสชนิด A เป็นชนิดที่ทำให้เกิดการระบาดอย่างกว้างขวางทั่วโลก
- ไวรัสชนิด B ทำให้เกิดการระบาดในพื้นที่ระดับภูมิภาค
- ไวรัสชนิด C มักเป็นการติดเชื้อที่แสดงอาการอย่างอ่อนหรือไม่แสดงอาการ และไม่ทำให้เกิดการระบาด
ไวรัสชนิด A และ B เป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคระบบทางเดินหายใจเฉียบพลัน โดยอาการติดเชื้อมักเริ่มขึ้นในเยื่อบุทางเดินหายใจส่วนบน (จมูกและคอ) และอาจแพร่กระจายไปยังปอดและหลอดลมได้ ในอดีตการระบาดของไข้หวัดใหญ่ พบว่าไวรัสสายพันธุ์ A ที่เราคุ้นเคยกันในชื่อ A/H1N1 และ A/H3N2 เป็นสายพันธุ์หลัก หลายปีที่ผ่านมาพบว่าการระบาดของเชื้อไวรัสสายพันธุ์ B เพิ่มมากขึ้น รวมถึงในประเทศไทยด้วย
เราจะป้องกันได้อย่างไร?
การป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ที่ดีที่สุดคือการฉีดวัคซีนป้องกัน จะมีการพัฒนาวัคซีนอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เหมาะสมและตรงกับการแพร่ระบาดของสายพันธุ์ไวรัสไข้หวัดใหญ่ในแต่ละปี
แต่เดิมวัคซีนที่ใช้กันอยู่จะป้องกันไวรัสได้ 3 สายพันธุ์ แต่เนื่องจากในระยะหลังพบว่ามีการระบาดของสายพันธุ์ B บ่อยขึ้น ในปี 2012 องค์การอนามัยโลกจึงได้แนะนำให้เพิ่มไวรัสสายพันธุ์ B เข้าไปอีก 1 สายพันธุ์ ทำให้วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่สามารถป้องกันเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ได้ 4 สายพันธุ์ ซึ่งประกอบไปด้วยไวรัสสายพันธุ์ A/H1N1, A/H3N2 และไวรัสสายพันธุ์ B 2 สายพันธุ์ คือ B/Victoria และ B/Yamagata วัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิด 4 สายพันธุ์ (Quadrivalent Influenza Vaccine) จึงป้องกันไข้หวัดใหญ่ได้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น
ใครควรได้รับวัคซีนไข้หวัดใหญ่บ้าง?
กลุ่มเสี่ยงต่อไปนี้ควรได้รับการป้องกันด้วยวัคซีนอย่างสม่ำเสมอค่ะ
- เด็ก ที่อายุน้อยกว่า 2 ปี จนถึง 5 ปี
- ผู้สูงอายุ ที่มีอายุมากกว่า 65 ปีขึ้นไป
- หญิงตั้งครรภ์ และ ผู้หญิงที่อยู่ในระยะ 2 สัปดาห์หลังคลอด
- ผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่ต้องได้รับการดูแลต่อเนื่อง
ข้อยกเว้น ผู้ที่แพ้ไข่ไก่รุนแรงไม่สามารถฉีดได้ เนื่องจากกระบวนการผลิตวัคซีนมีการเพาะเชื้อในไข่ไก่ หากแพ้ไข่ไก่ไม่รุนแรงควรฉีดวัคซีนที่โรงพยาบาลเพื่อให้แพทย์ดูอาการหลังฉีดวัคซีน
ทำไมต้องฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ทุกปี?
เนื่องจากภูมิคุ้มกันเชื้อไข้หวัดใหญ่จะลดต่ำลงได้ในระยะเวลาไม่นาน การฉีดวัคซีนทุกปีจึงเป็นการกระตุ้นให้ภูมิคุ้มกันอยู่ในระดับสูง และสอดคล้องกับสายพันธุ์ของเชื้อในแต่ละปี จึงแนะนำให้วัคซีนก่อนฤดูที่มีการระบาด คือฤดูฝนและฤดูหนาว และฉีดอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง
แต่หากลูกน้อยมีอาการป่วย และคุณสงสัยว่าลูกจะเป็นไข้หวัดใหญ่ เรามีวิธีสังเกตและข้อแนะนำค่ะ
อาการเด่นของไข้หวัดใหญ่มีอะไรบ้าง?
- มีไข้สูงเฉียบพลัน
- ปวดเมื่อยตามตัว ปวดศีรษะ
- คลื่นไส้ อาเจียน
- เบื่ออาหาร
หากสงสัยว่าป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ ควรทำอย่างไร?
เนื่องจากไข้หวัดใหญ่มีระยะแพร่โรคคือ 1 วันก่อนมีอาการ ถึง 7 วันหลังมีอาการ จึงควรทำสิ่งต่อไปนี้เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่นค่ะ นอกจากปฏิบัติตามนี้แล้ว อย่าลืมไปพบแพทย์ด้วยนะคะ
- หยุดงาน หยุดเรียน
- ใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลาที่ต้องอยู่ใกล้ผู้อื่น
- หมั่นล้างมือให้สะอาด
- ใช้ช้อนกลางเมื่อรับประทานอาหารร่วมกับผู้อื่น ไม่ใช้จาน ชาม ช้อนส้อม แก้วน้ำ ร่วมกับผู้อื่น
รู้ไหม?
การจามสามารถแพร่เชื้อโรคได้ไกลถึง 6 ฟุต หรือเกือบ 2 เมตร! จึงควรใช้กระดาษทิชชูปิดปากทุกครั้งที่จามแล้วทิ้งถังขยะให้เรียบร้อย หากไม่มี ห้ามใช้มือปิดปากแล้วจามเด็ดขาดค่ะ! ให้ยกแขนขึ้นมาจับไหล่ฝั่งตรงข้าม เช่น ยกแขนขวาขึ้นมาก็ให้จับไหล่ซ้าย และจามใส่ข้อพับข้อศอก เพราะเป็นส่วนที่ไม่ค่อยสัมผัสกับผู้อื่นหรือสิ่งของต่างๆ มากเท่ามือ เท่านี้ก็ป้องกันการแพร่เชื้อต่างๆ สู้ผู้อื่นได้แล้วค่ะ ง่ายนิดเดียวเอง ลองนำไปสอนลูกน้อยดูนะคะ
สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่สนใจ โรงพยาบาลสมิติเวชพร้อมให้บริการวัคซีนไข้หวัด 4 สายพันธุ์แล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปค่ะ
ขอบคุณข้อมูลจาก ศูนย์วัคซีน โรงพยาบาลสมิติเวช
เรียบเรียงโดย : กองบรรณาธิการเว็บไซต์
ภาพ : shutterstock