น้ำผึ้ง อาหารมากสรรพคุณแต่ไม่ใช่สำหรับทุกคน พ่อแม่โปรดระวัง ห้ามป้อนน้ำผึ้งแก่ทารกอายุต่ำกว่า 1 ปี เสี่ยงติดเชื้อจากแบคทีเรีย ที่ทำอันตรายได้ถึงชีวิต
น้ำผึ้ง ป้อนทารก ระวังอันตราย!จากภาวะโบทูลิซึม
ภาวะโบทูลิซึม จากอาหารเป็นภาวะอาหารเป็นพิษชนิดหนึ่ง ภาวะนี้พบไม่บ่อยแต่อาจก่ออาการที่รุนแรงจนเกิดอันตรายต่อชีวิตได้ ภาวะโบทูลิซึมจากอาหารเกิดจากการรับประทานอาหารที่ปนเปื้อนด้วยสารพิษโบทูลิซึม (botulism toxin) โดยสารพิษโบทูลิซึมเกิดจากการมีเชื้อแบคทีเรีย Clostridium botulinum ปนเปื้อนในอาหาร และสร้างสารพิษชนิดนี้ขึ้น สารพิษโบทูลิซึมเป็นสารพิษที่รุนแรงมาก การรับประทานสารพิษชนิดนี้ในขนาดน้อยมากเพียง 0.1 ไมโครกรัม (เท่ากับเศษหนึ่งส่วนสิบล้าน ของน้ำหนักหนึ่งกรัม) ก็อาจทำให้เสียชีวิตได้
เชื้อโรค Clostridium botulinum คืออะไร
เป็นเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่พบมากในดิน เชื้อนี้เจริญเติบโตได้ดีในสภาวะแวดล้อมที่มีออกซิเจนน้อย เช่นในกระป๋องบรรจุอาหารในขวดที่ปิดสนิท หรือในปี๊บ หากอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมแก่การเจริญเชื้อนี้จะหลบอยู่ในสภาพสปอร์ซึ่งคงทนในสภาพแวดล้อมได้ดีมาก และรอจนกว่าจะพบสภาพที่เหมาะสมจึงเจริญเติบโต และสร้างสารพิษในสภาวะที่มีการเจริญเติบโตนั้น
ภาวะโบทูลิซึมอาจเกิดในรูปแบบอื่น ๆ นอกเหนือจากอาหารได้อีก 2 รูปแบบได้แก่
- ภาวะโบทูลิซึมในเด็กทารก (Infant botulism) ซึ่งเกิดจากการเจริญของเชื้อ Clostridium botulinumและการสร้างสารพิษโบทูลิซึมในทางเดินอาหารของทารก ซึ่งทางเดินอาหารของทารกมีปัจจัยสำคัญที่เหมาะสมในการเจริญของเชื้อ ได้แก่ การพัฒนาการเคลื่อนไหวยังไม่ดี และความเป็นกรดต่ำ การป้องกันภาวะนี้ทำได้โดยการหลีกเลี่ยงการให้อาหารที่อาจปนเปื้อนสปอร์ของเชื้อ Clostridium botulinum เช่น น้ำผึ้งในเด็กทารกที่อายุน้อยกว่า 1 ปี
- ภาวะโบทูลิซึมจากแผล (wound botulism) ซึ่งเกิดจากการเจริญของเชื้อ Clostridium botulinum และการสร้างสารพิษโบทูลิซึมในบาดแผลที่มีการปนเปื้อนสปอร์จากดินการป้องกันภาวะนี้ทำได้โดยการล้างแผลให้สะอาด ปราศจากการปนเปื้อนของฝุ่นดิน
ภาวะแทรกซ้อนของโรคโบทูลิซึม
ผู้ป่วยที่รีบไปพบแพทย์ตั้งแต่อาการยังไม่รุนแรงมักมีโอกาสรอดชีวิตสูง และฟื้นฟูร่างกายได้เร็วขึ้นโดยไม่เกิดภาวะแทรกซ้อน อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงอาจไม่สามารถหายเป็นปกติได้โดยสมบูรณ์ เพราะส่วนใหญ่มักมีปัญหาทางการหายใจในระยะยาว เช่น อาการหายใจถี่ หรือรู้สึกเหนื่อยง่ายกว่าปกติ เป็นต้น
การป้องกันโรคโบทูลิซึม
โรค Botulism ป้องกันได้ด้วยการลดความเสี่ยงการได้รับเชื้อแบคทีเรียคลอสติเดียมโบทูลินัมเข้าสู่ร่างกาย โดยปฏิบัติตามคำแนะนำดังต่อไปนี้
- หากต้องการถนอมอาหารอย่างการหมักหรือดองผักผลไม้ไว้รับประทานเอง ให้ล้างมือก่อนตระเตรียมจัดการถนอมอาหารทุกชนิด และเก็บอาหารใส่ภาชนะที่สะอาด
- หากต้องการรับประทานอาหารที่ผ่านกระบวนการถนอมอาหาร เช่น อาหารกระป๋อง ของหมักดอง เป็นต้น ให้นำมาอุ่นด้วยความร้อนสูงก่อนทุกครั้ง และควรรับประทานอาหารกระป๋องให้หมดภายในครั้งเดียว
- หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารกระป๋องที่บรรจุภัณฑ์มีรอยรั่ว แตก บุบ หรือบวม อาหารภายในกระป๋องมีกลิ่นบูดเน่าหรือมีสีผิดปกติ หรือเมื่อเปิดฝาแล้วมีอากาศ น้ำ หรือฟองพุ่งออกมาจากกระป๋อง
- เก็บน้ำมันสำหรับประกอบอาหารที่มีส่วนผสมของสมุนไพรหรือเครื่องเทศชนิดใด ๆ ไว้ในตู้เย็นเสมอ
- ไม่ควรให้ทารกรับประทานน้ำผึ้งหรือน้ำเชื่อมจากข้าวโพด เพราะเสี่ยงต่อการปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้
Infant botulism !!
ในที่นี้จะขอกล่าวถึงภาวะโบทูลิซึมในเด็กทารก เนื่องจากวัยทารกเป็นวัยที่มีความเสี่ยงในการติดเชื้อโรคได้ง่าย เด็กในวัยนี้มีภูมิคุ้มกันในร่างกายที่ต่ำ ดังนั้นเวลาที่พ่อแม่ ผู้ปกครองจะให้ลูกรับประทานอาหารอะไร ก็ควรต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ มีคนแชร์ว่าได้นำน้ำผึ้งไปป้อนให้กับเด็กทารกอายุ 6 เดือน แล้วเด็กเสียชีวิตซึ่งเป็นข่าวจริงหรือไม่?
ทางเพจ อย. สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ได้ลงบทความเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ว่า “เป็นข่าวจริง”
เพราะอะไร วันนี้เรามีคำตอบก่อนอื่นมาทำความรู้จักกับโรคโบทูลิซึมกันก่อนดีกว่า โรคโบทูลิซึม เป็นภาวะอาหารเป็นพิษที่เกิดจากการได้รับสารพิษจากเชื้อแบคทีเรียคลอสติเดียมโบทูลินัม (Clostridium Botulinum) ที่ปนเปื้อนในอาหาร
โดยเชื้อนี้เจริญเติบโตได้ดี และสร้างสารพิษในภาวะที่มีออกซิเจนน้อย มักพบใน
1. อาหารกระป๋องที่มีการจัดเก็บไม่ได้มาตรฐาน เช่นมีรอยบุบ รั่ว หรือแตก
2. หน่อไม้ปี๊ป ที่ไม่ได้ปรุงด้วยความร้อนนานพอ หรือปรับค่าความเป็นกรดที่เหมาะสม
3. น้ำผึ้ง
อาการภาวะโบทูลิซึมในทารก
โดยนอกจากนี้ภาวะโบทูลิซึมสามารถเกิดได้กับเด็กทารกที่มีอายุน้อยกว่า 1 ปี สารพิษจะทำให้มีอาการดังต่อไปนี้
- ท้องเสีย หรือท้องผูก
- กลืนน้ำ และอาหารลำบาก ทำให้เบื่ออาหาร
- กล้ามเนื้ออ่อนแรง คออ่อนพับ
- มีอาการหายใจลำบาก
- เด็กป่วยประมาณ 5% จะมีอาการหายใจไม่ทัน หรือชะงักไป หัวใจหยุดเต้น และหากไม่รีบไปพบแพทย์อาจเกิดอันตรายจนเสียชีวิตได้
เหตุใดน้ำผึ้งจึงอันตรายกับเด็กทารกอายุต่ำกว่า 1 ปี!!
เนื่องจากทารกมีการพัฒนาการของระบบย่อยอาหารยังไม่สมบูรณ์เต็มที่ แบคทีเรียซึ่งเข้าสู่ทางเดินอาหารจึงแบ่งตัวสร้างสปอร์ และสารพิษได้ แต่กรณีเด็กโต หรือผู้ใหญ่ ลำไส้จะกำจัดเชื้อออกไปจากร่างกายได้ก่อนที่เชื้อจะเพิ่มจำนวนจึงทำให้สามารถบริโภคน้ำผึ้งได้โดยไม่อันตราย
อันตรายแฝงอื่น ๆ จากน้ำผึ้ง ที่ไม่เหมาะกับทารก
น้ำผึ้งยังมีรสหวานจัด การให้ทารกหรือเด็กบริโภคน้ำผึ้งนั้นจะทำให้ติดรสชาติหวาน ฟันผุ เป็นโรคอ้วนหรือขาดสารอาหารที่มีประโยชน์ได้จะเห็นได้ว่าไม่ควรให้ทารกที่มีอายุน้อยกว่า 1 ปีกินน้ำผึ้งโดยเด็ดขาด เพราะอาจเสี่ยงได้รับเชื้อหรือสารพิษได้ดังนั้นก่อนที่จะให้ลูกน้อยรับประทานอาหารอะไรควรศึกษาให้ดีก่อนไม่เช่นนั้นอาจเกิดอันตรายได้
เมื่อไหร่ควรเริ่มป้อนอาหารเสริมแก่ทารก : เวลาที่เหมาะสมสำคัญสำหรับก้าวแรก
เด็กวัยแรกเกิดถึง 6 เดือน
ตั้งแต่แรกเกิดจนอายุ 6 เดือน ลูกน้อยได้รับสารอาหารทั้งหมดที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการจากนมแม่ ทารกไม่ต้องการอะไรนอกจากนมแม่ ไม่จำเป็นต้องป้อนน้ำ ชา น้ำผลไม้ ข้าวต้ม หรืออาหารหรือของเหลวอื่น ๆ ในช่วงนี้
ทารกที่รับประทานอาหารหรือของเหลวอื่น ๆ ที่ไม่ใช่นมแม่ก่อนอายุ 6 เดือนจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยต่าง ๆ อาทิ ท้องเสีย ซึ่งอาจทำให้เด็กผอม อ่อนแอและอาจถึงแก่ชีวิตได้ และทำให้คุณให้นมลูกได้บ่อยน้อยลง ดังนั้นปริมาณน้ำนมซึ่งเป็นอาหารสำคัญที่สุดของลูกก็จะลดลงตามไปด้วย
นมแม่เป็นอาหารที่ปลอดภัย และดีต่อสุขภาพที่สุดในช่วง 6 เดือนแรกของทารกเด็กทุกคน นมแม่เป็นแหล่งโภชนาการที่มีให้ตลอด และปลอดภัย ซึ่งขาดไม่ได้สำหรับเด็ก
อายุ 6 เดือนขึ้นไป
เมื่อลูกน้อยของคุณอายุครบ 6 เดือน เด็กจะเจริญเติบโตและพัฒนาร่างกายอย่างรวดเร็ว และต้องการพลังงาน และสารอาหารมากกว่าแค่นมแม่เพียงอย่างเดียวจะให้ได้ ตอนนี้เด็กต้องเริ่มรับประทานอาหารเสริมนอกเหนือจากนมแม่เพื่อให้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย
เราจะป้อนอาหารให้ลูกเมื่อเห็นสัญญาณว่าลูกหิว โดยต้องคำนึงถึงความสะอาด หลังจากล้างมือด้วยสบู่แล้ว คุณอาจเริ่มให้อาหารอ่อน ๆ เช่น ข้าว ผลไม้หรือผักบด แก่ลูกน้อยเพียง เพียง 2-3 ช้อน วันละ 2 ครั้ง และคุณยังควรให้นมลูกต่อไป และบ่อยเท่าที่เคยป้อน
กรณีของเด็กที่ไม่ได้เลี้ยงด้วยนมแม่
หากคุณไม่ได้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการเริ่มป้อนอาหารเสริม ยังคงเป็นเมื่อายุครบ 6 เดือนเช่นเดียวกัน เพราะนี่คือช่วงวัยที่ทารกทุกคนไม่ว่าจะเลี้ยงด้วยนมแม่หรือไม่ ต้องเริ่มรับประทานอาหารเสริมเพื่อให้ร่างกายที่กำลังเจริญเติบโตได้รับสารอาหารครบถ้วน
คำแนะนำอาหารทารกวัย 0-12 เดือน
อายุ | อาหารเสริมที่ควรเริ่มได้ | ปริมาณอาหารเสริมที่ควรได้รับต่อวัน |
แรกเกิดถึง 4 เดือน |
|
|
อายุครบ 4-6 เดือน
เริ่มให้อาหารเสริม |
|
|
อายุครบ 7-8 เดือน |
|
|
อายุครบ 8-10 เดือน |
|
|
อายุครบ 10-12 เดือน |
|
|
ข้อมูลอ้างอิงจาก oryor.com/www.si.mahidol.ac.th/www.pobpad.com/www.synphaet.co.th/ www.unicef.org
อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก
ซิงเกิ้ลมัม เลี้ยงลูกคนเดียวก็เฟี้ยวได้กับเคล็ดลับเติมเต็มลูก
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่