10.ฟักทอง
ฟักทองอุดมไปด้วยวิตามิน A, C และ E รวมทั้งแคลเซียม สังกะสี โพแทสเซียม และฟอสฟอรัส จึงเป็นอาหารที่จะช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกายกลับมาแข็งแรงมากพอจะต่อสู้กับเชื้อหวัดที่ก่อให้เกิดน้ำมูก และเสมหะได้อีกทาง นอกจากนี้ยังแนะนำให้กินเมล็ดฟักทองเพื่อกำจัดน้ำมูกด้วย เนื่องจากในเมล็ดฟักทองมีกรดไขมันโอเมก้า 3 ซึ่งมีสรรพคุณในการต้านการอักเสบในร่างกาย อีกทั้งเมล็ดฟักทองยังมีสารต้านอนุมูลอิสระชนิดอื่น ๆ อีกมากมายที่พร้อมจะไฟท์กับอาการอักเสบต่าง ๆ ด้วยนะคะ
11.น้ำผึ้ง
ทราบไหมคะว่าน้ำผึ้งแท้ 100% จะอุดมไปด้วยคุณประโยชน์นานัปการ ทั้งสรรพคุณในการต้านการอักเสบ ต้านเชื้อแบคทีเรีย ต้านเชื้อรา แถมยังมีสารต้านอนุมูลอิสระ และสารฟลาโวนอยด์ที่จะช่วยลดทั้งอาการไข้ อาการภูมิแพ้ น้ำมูกไหล หรือแม้กระทั่งจะใช้น้ำผึ้งในการรักษาบาดแผลติดเชื้อไม่รุนแรงก็ยังได้
12.หัวหอม
แค่เราดมหัวหอมยังช่วยแก้อาการคัดจมูกได้ง่าย ๆ นับประสาอะไรกับการกินหัวหอมสด ๆ ที่จะได้รับสารอาหารจากหัวหอมอย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็นวิตามิน C, B6, B1, K, ไบโอติน, โครเมียม, แคลเซียม, และกรดฟอสฟอริกตัวจี๊ด (กรดที่ทำให้เราน้ำตาไหลตอนหั่นหัวหอม) ที่มีสรรพคุณช่วยชะล้างแบคทีเรียและฆ่าเชื้อโรคที่มีอยู่ในเลือด ทำให้ระบบไหลเวียนเลือดสะอาดขึ้น อาการป่วยก็จะบรรเทาลงตามลำดับ
13.สับปะรด
นอกจากจะอุดมไปด้วยวิตามิน C ที่จะช่วยเสริมความแข็งแรงให้ภูมิคุ้มกันได้แล้ว ความจี๊ดของสับปะรดก็อยู่ที่เอนไซม์บรอมีเลนซึ่งจะช่วยยับยั้งอาการอักเสบ ช่วยกำจัดเสมหะได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเมื่อภูมิคุ้มกันมีตัวช่วยเพิ่มขึ้น อาการอักเสบลดลง ปริมาณน้ำมูกก็จะค่อย ๆ ลดลงไปด้วยนั่นเอง
นอกเหนือจากเมนูที่จะช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานและบรรเทาอาการหวัดดังที่กล่าวมานี้ หวัดเป็นโรคที่หายได้เองโดยไม่ต้องรักษาหรือเพียงรักษาตามอาการก็เป็นการเพียงพอแล้ว คุณพ่อคุณแม่ควรให้ลูกทานอาหารครบทั้ง 5 หมู่ ดื่มน้ำสะอาดเยอะๆ และพักผ่อนให้เพียงพอ ร่วมไปกับการให้เด็กได้รับวัคซีนครบถ้วนตามวัย การให้เด็กได้เล่น ได้สูดอากาศที่ดี มีสิ่งแวดล้อมที่บริสุทธิ์ เป็นปัจจัยร่วมกันที่ช่วยป้องกันเด็กไม่ให้เป็นหวัด หรือเมื่อป่วยเป็นหวัดก็รักษาได้ง่าย หายเร็ว
อ่านต่อบทความน่าสนใจ
- สีของน้ำมูก สามารถบอกสุขภาพของลูกได้
- โรคภูมิแพ้ รักษาได้ด้วยต้นไม้มหัศจรรย์
- วัคซีนไข้หวัดใหญ่ กับเรื่องที่คุณพ่อ คุณแม่ควรรู้
- ยาน้ำลดไข้ ของเด็ก แต่ละยี่ห้อแตกต่างกันอย่างไร พ่อแม่ควรรู้!
ขอบคุณที่มาจาก : www.si.mahidol.ac.th , www.emaginfo.com , health.mthai.com