อาหารแก้หวัด 13 ชนิด! เพิ่มภูมิต้านทานให้กับลูกน้อย - amarinbabyandkids

อาหารแก้หวัด 13 ชนิด! เพิ่มภูมิต้านทานให้กับลูกน้อย

event

อาหารแก้หวัด

10.ฟักทอง

ฟักทองอุดมไปด้วยวิตามิน A, C และ E รวมทั้งแคลเซียม สังกะสี โพแทสเซียม และฟอสฟอรัส จึงเป็นอาหารที่จะช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกายกลับมาแข็งแรงมากพอจะต่อสู้กับเชื้อหวัดที่ก่อให้เกิดน้ำมูก และเสมหะได้อีกทาง นอกจากนี้ยังแนะนำให้กินเมล็ดฟักทองเพื่อกำจัดน้ำมูกด้วย เนื่องจากในเมล็ดฟักทองมีกรดไขมันโอเมก้า 3 ซึ่งมีสรรพคุณในการต้านการอักเสบในร่างกาย อีกทั้งเมล็ดฟักทองยังมีสารต้านอนุมูลอิสระชนิดอื่น ๆ อีกมากมายที่พร้อมจะไฟท์กับอาการอักเสบต่าง ๆ ด้วยนะคะ

11.น้ำผึ้ง

ทราบไหมคะว่าน้ำผึ้งแท้ 100% จะอุดมไปด้วยคุณประโยชน์นานัปการ ทั้งสรรพคุณในการต้านการอักเสบ ต้านเชื้อแบคทีเรีย ต้านเชื้อรา แถมยังมีสารต้านอนุมูลอิสระ และสารฟลาโวนอยด์ที่จะช่วยลดทั้งอาการไข้ อาการภูมิแพ้ น้ำมูกไหล หรือแม้กระทั่งจะใช้น้ำผึ้งในการรักษาบาดแผลติดเชื้อไม่รุนแรงก็ยังได้

12.หัวหอม

แค่เราดมหัวหอมยังช่วยแก้อาการคัดจมูกได้ง่าย ๆ นับประสาอะไรกับการกินหัวหอมสด ๆ ที่จะได้รับสารอาหารจากหัวหอมอย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็นวิตามิน C, B6, B1, K, ไบโอติน, โครเมียม, แคลเซียม, และกรดฟอสฟอริกตัวจี๊ด (กรดที่ทำให้เราน้ำตาไหลตอนหั่นหัวหอม) ที่มีสรรพคุณช่วยชะล้างแบคทีเรียและฆ่าเชื้อโรคที่มีอยู่ในเลือด ทำให้ระบบไหลเวียนเลือดสะอาดขึ้น อาการป่วยก็จะบรรเทาลงตามลำดับ

13.สับปะรด

นอกจากจะอุดมไปด้วยวิตามิน C ที่จะช่วยเสริมความแข็งแรงให้ภูมิคุ้มกันได้แล้ว ความจี๊ดของสับปะรดก็อยู่ที่เอนไซม์บรอมีเลนซึ่งจะช่วยยับยั้งอาการอักเสบ ช่วยกำจัดเสมหะได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเมื่อภูมิคุ้มกันมีตัวช่วยเพิ่มขึ้น อาการอักเสบลดลง ปริมาณน้ำมูกก็จะค่อย ๆ ลดลงไปด้วยนั่นเอง

นอกเหนือจากเมนูที่จะช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานและบรรเทาอาการหวัดดังที่กล่าวมานี้ หวัดเป็นโรคที่หายได้เองโดยไม่ต้องรักษาหรือเพียงรักษาตามอาการก็เป็นการเพียงพอแล้ว คุณพ่อคุณแม่ควรให้ลูกทานอาหารครบทั้ง 5 หมู่ ดื่มน้ำสะอาดเยอะๆ และพักผ่อนให้เพียงพอ ร่วมไปกับการให้เด็กได้รับวัคซีนครบถ้วนตามวัย  การให้เด็กได้เล่น ได้สูดอากาศที่ดี มีสิ่งแวดล้อมที่บริสุทธิ์ เป็นปัจจัยร่วมกันที่ช่วยป้องกันเด็กไม่ให้เป็นหวัด หรือเมื่อป่วยเป็นหวัดก็รักษาได้ง่าย หายเร็ว

อ่านต่อบทความน่าสนใจ

 


ขอบคุณที่มาจาก : www.si.mahidol.ac.th , www.emaginfo.com , health.mthai.com

เรื่องที่คนอ่านมากสุด

keyboard_arrow_up