5.ยกตัวอย่างที่มีผลงานวิจัยออกมาค่ะว่าการกินน้ำมันปลาที่มีโอเมก้า-3 ร่วมกับการกินยาตามแพทย์สั่ง จะช่วยลดอาการอักเสบของคนที่เป็นโรคข้ออักเสบได้ นอกจากนี้ยังมีส่วนช่วยในเรื่องของระบบหัวใจและหลอดเลือด โดย EPA จะไปช่วยเพิ่มความแข็งแรงของระบบหลอดเลือดหัวใจ ทั้งยังช่วยลดไขมันในเลือดชนิดไตรกลีเซอไรด์และควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในระดับปกติได้อีกด้วยค่ะ
- Gruenwald J, Graubaum H-J, Hansen K, Grube B. Efficacy and tolerability of a combination of Lyprinol® and high concentrations of EPA and DHA in inflammatory rheumatoid disorders. Advances in Therapy. 2004;21(3):197-201.
ขนาดที่แนะนำต่อวันของ โอเมก้า-3 จากสถาบันต่างๆ มีดังนี้ค่ะ
AHA (American Heart Association)หรือสมาคมโรคหัวใจของอเมริกา แนะนำ
- ผู้ที่มีโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดและหัวใจ ควรรับประทาน DHA+EPA1000 มก/วัน
- ผู้ที่มีไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือดสูง ควรรับประทาน DHA+EPA 2000 มก/วัน
กลุ่ม ISSFAL (International Society for the Study of Fatty Acids and Lipids)และ EFSA (European Food Safety Authority) แนะนำให้รับประทานวันละ 250 มิลลิกรัม เพื่อเสริมสุขภาพ
ตอนนี้ในตลาดมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายชนิด หลายยี่ห้อมากๆ แต่ขอเลือกผลิตภัณฑ์ตัวอย่างมา 3 ยี่ห้อนะคะ เพราะว่าหาซื้อได้ง่าย เข้าไปร้านยาส่วนมาก ถามหาน้ำมันปลาก็เจอยี่ห้อนี้
นี่ค่ะหน้าตาของผลิตภัณฑ์ที่เค้าไปเลือกมา ได้มา 3 ยี่ห้อ ที่เลือกเพราะว่าเป็นแบรนด์ชั้นนำ และมีวางจำหน่ายในร้านขายยาทั่วไปนะคะ เน้นนะคะว่าร้านขายยา เพราะว่าบางยี่ห้อไปหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตมา คือเอามาขายราคาถูกลงครึ่งๆ เลยอ่ะ ไปถามพี่เจ้าของร้านยามาเค้าบอกราคาทุนยังไม่ได้ขนาดนี้เลย เอาอะไรมาขายเราก็ไม่รู้ เลือกซื้อจากร้านขายยาหรือร้านที่มีความน่าเชื่อถือ เราจับต้องได้ดีกว่าเนอะ
มาดูกันแต่ละยี่ห้อดีกว่าว่าดียังไง มีข้อเด่น ข้อด้อยของผลิตภัณฑ์อย่างไรบ้าง
1.Blackmores Fish Oil 1000
แบลคมอร์ส คือแบรนด์ที่ยึดถือและพัฒนาผลิตภัณฑ์ภายใต้แนวคิดที่ว่า “ธรรมชาติคือคำตอบของสุขภาพ” โดยก่อตั้งที่ประเทศออสเตรเลียมาเป็นระยะเวลานาน และเป็นแบรนด์แรกๆ เลยที่เข้ามาเปิดตลาดในประเทศไทยที่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ยาและอาหารเสริม ที่เอาขึ้นมาอันดับแรกเพราะว่าถามพี่ที่ร้านแล้วว่าถ้าคนจะมาซื้ออาหารเสริมเนี่ยเค้าจะถามหาแบรนด์นี้เป็นอันดับแรกเลย อาจเป็นเพราะว่าเป็นที่รู้จักมานาน คนส่วนใหญ่จะมั่นใจในคุณภาพของผลิตภัณฑ์ตั้งแต่การทดลองสูตรผลิตภัณฑ์ยาต่างๆ การคัดสรรวัตถุดิบ รวมถึงการตรวจสอบด้วยนวัตกรรมล่าสุดเกี่ยวกับธรรมชาติบำบัดที่เข้มงวดและครอบคลุม โดยบริษัทของเค้าได้รับการสนับสนุนจาก Therapeutic Goods Administration (TGA) ของกรมแพทย์กระทรวงสาธารณสุข ประเทศออสเตรเลีย
นอกจากนั้นวิธีการผลิตทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารหรือยาก็อยู่ภายใต้หลักเกณฑ์การผลิตมาตรฐานสากล Good Manufacturing Practice (GMP) หรือ PIC/s GMP ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลของการผลิตยาและผลิตตามมาตรฐานของยุโรปด้วย
สำหรับใครที่ขี้เกียจอ่าน ขวัญไปเจอวิดีโอในเว็บไซต์ของแบลคมอร์สเกี่ยวกับการเลือกวัตถุดิบมาทำน้ำมันปลาด้วย ลองกดดูนะคะ
2.Mega Fish Oil 1000 mg
เมก้าเป็นแบรนด์ที่เริ่มก่อตั้งในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2526 โดยเริ่มจากการรับจ้างผลิตของแบรนด์อื่นหลังจากนั้นจึงผลิตสินค้าของตัวเองเพิ่มสินค้าใหม่มากขึ้นทั้งในกลุ่มวิตามิน สารอาหารจากธรรมชาติ และยาเข้ามาตีตลาดในประเทศไทยหลังแบลคมอร์ส โดยเมก้าผลิตด้วยระบบการควบคุมคุณภาพ ซึ่งทุกผลิตภัณฑ์จะมีการวิจัยการผลิตและควบคุมคุณภาพ เมก้าเป็นโรงงานผลิตยาของประเทศไทยที่ได้รับการรับรองมาตรฐานการผลิต (GMP) จากประเทศออสเตรเลีย ซึ่งเป็นมาตรฐานการผลิตยา วิตามิน สมุนไพร และผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร BfArM จากประเทศเยอรมัน ซึ่งเป็นตัวแทนสหภาพยุโรป หรือ EU
3.Biogrow Fish Oil 1000 mg
ไบโอโกรว์ เป็นแบรนด์จากอเมริกา มีสาขาอยู่หลายประเทศ ก่อตั้งโดยผู้บริหารที่มีความเชี่ยวชาญด้านยา และอาหารเสริมมาเป็นระยะเวลากว่า 30 ปี ซึ่งเวลาก็พอๆ กับเมก้าค่ะบริษัทไบโอโกรว์มุ่งเน้นการวิจัยค้นคว้าหาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพที่ดีที่สุดจากทั่วทุกมุมโลก เพื่อประสิทธิภาพที่ดีเลิศ ผลลัพธ์ที่เป็นที่พึงพอใจแก่ลูกค้าเพื่อให้สอดคล้องกับคติประจำใจของบริษัท คือ “สุขภาพดี มีสุข”
น้ำมันปลา Biogrow ผลิตโดยโรงงาน Alpha Laboratories ประเทศนิวซีแลนด์ ซึ่งเป็นโรงงานทีผลิตน้ำมันปลาที่ใหญ่มากผ่านมาตรฐาน GMP ที่ approved โดย Medsafe NZ และ TGA Australia และมีการตรวจสอบเชื้อโรค และโลหะหนัก ทั้งสารตะกั่ว ปรอท แคดเมียม สารหนู
โดยใช้มาตรฐาน BP British Pharmacopeia ของสินค้าทุก lot ที่นำเข้ามาขายในประเทศไทย
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่
เปรียบเทียบข้อมูลส่วนผสมสาระสำคัญของผลิตภัณฑ์
คือ…ทุกยี่ห้อ ในน้ำมันปลา 1000 มิลลิกรัม 1 แคปซูลประกอบไปด้วย โอเมก้า-3 300 มิลลิกรัม
ซึ่งจะประกอบไปด้วย กรดไอโคซาเพนตาอีโนอิก(อีพีเอ) 180 มก.
กรดโดโคซาเฮกซาอีโนอิก (ดีเอชเอ) 120 มก.
วิตามิน อี
ซึ่งสารทั้งหมดนี้เป็นปริมาณที่ อย.ของอเมริกาแนะนำมาค่ะ ว่ากินสัดส่วนเท่านี้จึงจะมีประโยชน์ต้องมีปริมาณเท่านี้แหละที่จะทำให้เกิดผลต่างๆที่ดีต่อร่างกายดังกล่าวมาข้างต้นได้ ยี่ห้อไหนน้อยกว่านี้ก็ไม่ผ่านแล้วนะคะ
และถ้าถามว่า วิตามิน E นั้นเค้าใส่เข้าไปทำไม? เพราะว่ากรดไขมันไม่อิ่มตัวสลายตัวง่ายมาก ต้องมีวิตามิน E ช่วยทำหน้าที่เป็น Antioxidant ช่วยคงสภาพและปริมาณสารสำคัญให้มีสูงสุดระหว่างรอการบริโภค
ในเรื่องของสารสำคัญสำหรับน้ำมันปลา 1000 มิลลิกรัม ก็ถือว่ามีความเท่าเทียมกันค่ะ
มาดูแคปซูลกันบ้าง จะมีลักษณะเป็น แคปซูลเจลนิ่ม
เนื่องจากสารบางชนิดไม่สามารถสกัดมาให้อยู่ในรูปผงแห้งได้ จึงมีการผลิตแคปซูลนิ่มหรือที่เรียกว่า ซอฟเจลาติน ซึ่งเหมาะสำหรับการบรรจุสารที่เป็นน้ำมัน เช่น น้ำมันปลา น้ำมันรำข้าว น้ำมันดอกคำฝอย รวมทั้งวิตามินที่ละลายในน้ำมัน เช่น วิตามิน A, D, E, K และสารที่ละลายในน้ำมันเช่น Co enzymeQ10, Lecithin, Lutein เป็นต้น เพื่อให้สารเหล่านี้ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้น และไม่สูญเสียสาระสำคัญไป
จะเห็นว่าทั้ง 3 ยี่ห้อไม่แตกต่างกันค่ะ ผลิตมาลักษณะเหมือนกันเลย เปิดขวดมามีกลิ่นคาวปลานิดๆ คล้ายๆ กัน
โดยความเห็นส่วนตัวนะคะ คิดว่ากลิ่นของแบลคมอร์สและเมก้าจะค่อนข้างดีกลิ่นอ่อนกว่าของไบโอโกรว์ค่ะ ไบโอโกรว์กลิ่นปลาแรงมากกว่าค่ะ —อันนี้ก็แล้วแต่ความชอบเนอะ
ต่อไปคือบรรจุภัณฑ์
คือทีแรกไม่ได้สนใจบรรจุภัณฑ์เท่าไหร่หรอก เพราะคิดว่าเค้าทำมาขนาดนี้ละ บรรจุภัณฑ์ก็แค่เปลือกนอก แต่พี่สาวเค้าเรียนเกี่ยวกับอาหารอยู่ค่ะ ก็ค่อนข้างให้ความสำคัญกับพวกแพ็คเกจ กับการเก็บรักษามันบ่งบอกถึงคุณภาพของสิ่งที่อยู่ข้างในเมื่อเวลาผ่านไป หรือหลังจากเปิดใช้ไปแล้วได้
โดยของ Blackmores จะเป็นขวดแก้ว แต่ของ Mega และของ Biogrow จะเป็นขวดพลาสติกค่ะ
เนื่องจากผลิตภัณฑ์ยาหรืออาหารเสริมทั้งหลายทั้งปวงจะมีการสลายตัวได้เมื่อสัมผัสกับอากาศ หรือสิ่งแวดล้อมภายนอก โดยมันมีความไวต่อสิ่งเร้าพวกนี้ต่างๆ กันไป แต่สำหรับน้ำมันปลานั้นมันค่อนข้างไวต่ออากาศค่ะ ดังนั้นการอยู่ในภาชนะที่ปิดสนิทจะดีที่สุด ทั้งความชื้นและอากาศผ่านเข้าไปได้ยิ่งน้อยยิ่งดี ซึ่งถ้าให้เปรียบเทียบก็คือแก้ว ยังไงก็ดีกว่าพลาสติกแน่นอนค่ะ เพราะพลาสติกบางชนิด Oxygen สามารถผ่านเข้าไปได้ ก็จะทำให้สารสำคัญเสื่อมไป คิดแบบบ้านๆ นะคะว่าเราซื้อมาก็แพงละ เราก็ต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ที่เราซื้อมาแบบมีคุณภาพจนถึงเม็ดสุดท้ายที่เรากินจริงมั้ย
Edit : มีเพื่อนๆ ทักเรื่องฝาปิดขวดมาว่าจะมีผลต่อการผ่านเข้าไปของอากาศหรือไม่?
จากการทดลองเปิด-ปิด อยู่หลายทีก็พบว่าปิดได้สนิทเหมือนกันค่ะ ที่สำคัญคือตัวเรา ปิดฝาให้สนิททุกครั้งหลังใช้นะคะ ใครมีวิธีดูหรือทดสอบอะไรบอกได้นะคะ
ต่อไปก็เป็นข้อมูลเพิ่มเติมเล็กๆ น้อยๆ ที่หลายคนอาจจะมองข้ามไปนั่นก็คือ แหล่งที่มาของปลา
อย่างที่บอกไปตั้งแต่แรกนะคะว่า ปลาที่เอามาทำต้องเป็นปลาน้ำลึกนะ และเป็นปลาในกระแสน้ำเย็นด้วย เช่น ปลาแอนโชวี่ โดยธรรมชาติของแอนโชวี่จะอาศัยอยู่บริเวณมหาสมุทรแปซิฟิคในน่านน้ำที่สะอาดบริสุทธิ์ กินแพลงก์ตอนและลูกปลาเป็นอาหาร ทำให้ได้น้ำมันปลาที่มีคุณภาพดี และด้วยความที่เป็นปลาขนาดเล็กจึงมีโอกาสพบสารปนเปื้อนและโลหะหนัก เช่น สารตะกั่ว สารปรอท ได้น้อยกว่าปลาที่มีขนาดใหญ่ ดังนั้นเราจึงค่อนข้างมั่นใจได้ว่าน้ำมันปลาที่เรารับประทานนั้นมีความปลอดภัยค่ะ