เชื่อว่าพ่อแม่ทุกคน อยากให้ลูก เป็นเด็กเก่ง เด็กฉลาดสมวัย บางคนก็คาดหวังอยากให้ลูกเป็นอัจฉริยะ ซึ่งก็มีคำแนะนำมากมายในหนังสือเกี่ยวกับการเป็นอัจฉริยะที่สามารถสร้างกันได้ หรือบางคนส่งลูกเข้าสถาบันเลี้ยงดูเด็กตั้งแต่ยังไม่ตั้งไข่ แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้ จึงกลายเป็นคำถามว่า “จะทำอย่างไร ให้ลูกเป็นเด็กฉลาด”
คำว่า “ฉลาด” ในที่นี้หมายถึง การที่ลูกมีพัฒนาการและการเจริญเติบโต ทั้งด้านร่างกาย ภาษา สติปัญญาที่สมวัย ไม่ช้าเกินเกณฑ์ และได้รับการเลี้ยงดูอย่างเหมาะสม และความฉลาดก็เป็นสิ่งที่พ่อแม่สามารถช่วยกันสร้างขึ้นมาในตัวลูกๆ ได้เองด้วยสองมือ โดยไม่จำเป็นต้องใช้เงินทอง หรือค่าใช้จ่ายอะไรมากมาย แค่ความเอาใจใส่ประกอบกับธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัว ก็สามารถส่งเสริมความฉลาดอย่างเป็นธรรมชาติให้กับลูกน้อยได้แล้วค่ะ โดยมีเคล็ดลับง่ายๆ ดังนี้
1. นมแม่ ดีที่สุด
นมแม่ เป็นอาหารสมองที่จำเป็นอย่างยิ่ง มีงานวิจัยมากมาย ต่างแสดงตรงกันว่าการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่นั้น มีผลดีกับเด็กทารก เพราะนมแม่ช่วยป้องกันโรคติดเชื้อที่อันตราย และให้สารอาหารที่จำเป็นต่อเด็ก นักวิจัยชาวเดนมาร์กพบว่านมแม่สามารถทำให้เด็กฉลาดขึ้นพร้อม ๆ กับสุขภาพดีขึ้นด้วย พูดง่าย ๆ ก็คือ ถ้าคุณรู้สึกว่านมแม่มีสิ่งดี ๆ อยู่ คุณก็ควรจะลงทุนกับสุขภาพของลูกเสียแต่เนิ่น ๆ เพราะการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่สามารถให้ผลดีอย่างมากในระยะยาวทีเดียว
2. อ่านหนังสือ ฝึกปรือความคิด
การอ่านเป็นอีกเรื่องที่พ่อแม่ไม่ควรมองข้าม และต้องถือเป็นข้อปฏิบัติที่ต้องอ่านให้ลูกฟัง หนังสือดีๆ ช่วยให้ลูกเรียนรู้ภาษาได้จริง น้ำเสียงที่พ่อแม่อ่านให้ฟังทุกวัน จะช่วยให้ลูกจดจำคำศัพท์ และประโยคได้ เด็กบางคนสามารถอ่านหนังสือออกตั้งแต่ยังไม่เรียน เพราะได้ยินพ่อแม่อ่านหนังสือให้ฟังทุกวันนั่นเองค่ะ
3. ออกกำลังกาย สร้างพลังสมองง่ายและดี
การออกกำลังกายโดยตัวของมันเองแล้วไม่ได้ทำให้ลูกฉลาดขึ้นโดยตรง แต่เป็นการทำให้ร่างกายได้เคลื่อนไหว ช่วยให้มีการตื่นตัวในการเรียนมากขึ้น และทำให้สมองของลูกทำงานได้ดีขึ้นอย่างแน่นอน โดยมีงานวิจัยจากหลายแห่งซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างชัดเจนระหว่างความแข็งแรงของร่างกายกับความสำเร็จทางวิชาการ โดยการเข้าร่วมเล่นกีฬาช่วยสร้างความมั่นใจ การร่วมมือทำงาน และความเป็นผู้นำ ซึ่งแทนที่จะให้ลูกนั่งนอนดูทีวีหลังอาหารเย็น ลองเปลี่ยนไปเล่นลูกบอลหรือปั่นจักรยานนอกบ้านดูบ้างก็จะเป็นการดี
4. เดินเล่นนอกบ้าน สนุกสนานสบายอารมณ์
เช้าๆ หรือเย็นๆ แดดอ่อนๆ ลมโชยเบาๆ พาลูกน้อยสำรวจรอบบ้าน จะเป็นต้นไม้ใบหญ้า นกบินผ่าน แมวกระโดด เสียงเจ้าหมาเห่า ก็ชี้ให้ลูกมองตาม พ่อแม่ก็อธิบายพูดคุยกับลูกไปสบายๆ เพิ่มคำศัพท์ให้ลูกน้อยทุกวันอย่างเป็นธรรมชาติ
5. ให้ลูกหัดช่างสงสัย และหาคำตอบด้วยตัวเอง
มีผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า พ่อแม่ที่ชอบแสดงความช่างสงสัยและส่งเสริมให้ลูก ๆ ได้ค้นหาแนวคิดแบบใหม่ ๆ นั้น เป็นการให้บทเรียนกับเด็ก ๆ ที่มีค่ามาก เพราะนั่นทำให้พวกเขาได้รู้ว่าการหาความรู้เป็นสิ่งที่สำคัญ และควรสนับสนุนงานอดิเรกและความสนใจของพวกเขาด้วยการถามคำถามต่าง ๆ สอนลูกให้ทำสิ่งใหม่ ๆ และพาลูกไปท่องเที่ยวเรียนรู้อะไรใหม่ ๆ ในที่ต่าง ๆ ก็จะช่วยพัฒนาความช่างสงสัยที่ดีต่อสติปัญญาได้ต่อไป
6. ปล่อยความรักของพ่อแม่ ให้ลอยทั่วบ้าน
การสร้างบ้านให้มีบรรยากาศน่าอยู่ ไม่ใช่ความใหญ่โต หรือความสวยงาม แต่เป็นเรื่องที่คนในบ้านต้องสร้าง การยิ้มแย้มแจ่มใส พูดคุยกันด้วยความรักความเข้าใจในธรรมชาติของลูก ความเข้าใจซึ่งกันและกันของสมาชิก ความมีน้ำใจ และอภัยให้กัน สิ่งเหล่านี้เป็นพื้นฐานให้บรรยากาศภายในบ้านเอื้อต่อการเรียนรู้ เมื่อพ่อแม่แสดงความรักกับลูกทุกครั้งที่มีโอกาส ลูกจะอยู่ด้วยความรู้สึกอบอุ่นและมั่นคงในจิตใจ ซึ่งลูกก็จะรู้จักแสดงความรักออกไป และพร้อมที่จะเปิดใจยอมรับในสิ่งใหม่ ๆ ด้วยเช่นกัน
7. เลือกโภชนาการดี ได้รับสารอาหารครบถ้วน
“อาหาร” ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยหลักเพื่อการพัฒนาสมอง เด็กที่ได้รับสารอาหารที่ดีทำให้ร่างกายและสมองพร้อมต่อการเรียนรู้ต่างๆ ฉะนั้นการให้ลูกรับประทานอาหารครบ ทั้ง 5 หมู่ในปริมาณที่เพียงพอ จะทำให้พัฒนาการของร่างกาย และการเรียนรู้เป็นไปอย่างสมบูรณ์ ซึ่งสารอาหารหลักที่จำเป็นอย่างยิ่งในการเจริญเติบโตของสมองลูกน้อย มีทั้งโปรตีน กรดไขมันพิเศษ วิตามิน เกลือแร่ และธาตุเหล็ก
ซึ่งในนมแพะก็เพียบพร้อมไปด้วยสารอาหารที่ลูกน้อยโดยเฉพาะโปรตีนคุณภาพในนมแพะ เป็นโปรตีน CPP (Casein Phosphopeptides) ที่ย่อยและดูดซึมง่าย ร่างกายจึงนำไปใช้ได้อย่างเต็มที่ ทำให้นมแพะถูกย่อยและดูดซึมได้ง่าย ช่วยดูแลลูกน้อยไม่ให้เกิดอาการท้องอืด หรือท้องผูก ที่สำคัญโปรตีน CPP ในนมแพะยังช่วยเพิ่มการดูดซึมแคลเซียม เหล็ก สังกะสี แมกนีเซียมเข้าสู่ร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีใยอาหารจากธรรมชาติ คือพรีไบโอติก (Prebiotic) อย่างอินนูลิน (Inulin) และโอลิโกฟรุคโตส (Oligofructose) ที่เป็นอาหารของจุลินทรีย์ที่ดีที่อยู่ในลำไส้ใหญ่ ทำให้การทำงานของระบบย่อยอาหารและการขับถ่ายเป็นไปอย่างดี ลดอาการท้องผูก และช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกายอีกด้วย เมื่อร่างกายของลูกแข็งแรงแล้ว ก็พร้อมที่จะเรียนรู้และรับสิ่งต่างๆเข้าสู่สมอง
ดังนั้น เพื่อให้ลูกน้อยฉลาดสมวัยตามธรรมชาติ การใส่ใจกับสารอาหารที่ลูกจะได้รับจึงเป็นสิ่งที่พ่อแม่ควรทำ เนื่องจากเป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาสมองและร่างกายของลูกน้อยให้เติบโตอย่างมีประสิทธิภาพ