เมื่อ ลูกป่วย 8 คำถามสำคัญ ที่ควรถามเภสัชกร! "เมื่อรับยา" - amarinbabyandkids
ลูกป่วย

8 คำถามสำคัญ ที่ควรถามเภสัชกร! “เมื่อรับยา” ตอนลูกป่วย

event
ลูกป่วย
ลูกป่วย

ลูกป่วย

ข้อควรระวังเมื่อใช้ยากับเด็ก

  1. ยาปฏิชีวนะ นิยมทำเป็นรูปผงแห้ง ก่อนผสมน้ำควรเคาะขวดยาให้ผงยากระจายตัวก่อน จึงผสมน้ำสุกต้มที่เย็นแล้วให้ได้ระดับที่กำหนด ยาบางชนิดเมื่อผสมน้ำแล้วต้องเก็บในตู้เย็นและต้องกินยาติดต่อกันจนหมด แม้ว่าอาการจะหายดีแล้ว ยกเว้นกรณีแพ้ยาให้หยุดยาทันทีและรีบไปพบแพทย์
  2. ยาลดไข้ ที่นิยมให้เด็กกินก็คือ พาราเซตามอล (Paracetamol) โดยให้เด็กกินยาทุก 4-6 ชั่วโมงจนไข้ลด แต่ถ้าอาการไม่ดีขึ้น ภายใน 2 วัน หรือมีไข้สูงมาก ควรไปพบแพทย์ ห้ามเปลี่ยนไปใช้ยาแอสไพริน (Aspirin) หรือ ไอบูโปรเฟน (Ibuprofen) เพราะหาก เด็กเป็นไข้เลือดออกจะทำให้เกิดอันตรายได้ และยาพาราเซตามอล ไม่ควรกินยาติดต่อกันเกิน 5 วัน เพราะอาจมีผลเสียต่อตับได้ ส่วนกรณีจำเป็นเมื่อต้องใช้ยาลดไข้แอสไพริน หรือ ไอบูโปรเฟน ควรให้กินยาหลัง รับประทานอาหารทันที เนื่องจากยานี้ระคายเคืองต่อกระเพาะอาหาร และนอกจากการให้ ยาลดไข้แล้ว ควรเสริมด้วยการเช็ดตัวเด็กด้วยผ้าชุบน้ำ หมาดๆ เช็ดตามข้อพับ ตามซอกต่างๆและลำตัว เพราะจะช่วยระบายความร้อนและลดไข้ได้ดีขึ้น
  3. ยาแก้ไอ ไม่ควรนำยาแก้ไอของผู้ใหญ่มาให้เด็กกิน เพราะยาบางชนิดอาจจะผสมแอลกอฮอล์ หรือยาบางตัวอาจมีฤทธิ์กดศูนย์กลางการหายใจ อาจทำให้เด็กหยุดหายใจจนเสียชีวิตได้
  4. ยาแก้ท้องเสีย ไม่ควรให้ยาที่มีความแรงมากในเด็กเล็ก เพราะอาจไปกดการหายใจได้ วิธีที่ดีที่สุดคือการให้น้ำและเกลือแร่ เพื่อชดเชยการสูญเสียน้ำ เพราะอาการขาดน้ำในเด็กอาจทำให้เสียชีวิตได้

ข้อห้ามใช้ของยาสำหรับทารกและเด็กเล็กบางชนิดที่ควรจดจำ

  1. แอสไพริน (Aspirin) ไม่ควรใช้ในเด็กอายุต่ำกว่า 1 ขวบ เพราะอาจทำให้มีเลือดออกได้
  2. คลอร์เฟนิรามีน (Chlorpheniramine) ไม่ควรใช้ในทารกอายุต่ำกว่า 2 เดือน เพราะอาจทำให้ซึม นอนไม่หลับ หรือชักได้
  3. คลอแรมเฟนิคอล (Chloramphenicol) ห้ามใช้ในทารกอายุต่ำกว่า 4 เดือน เพราะอาจทำให้เด็กตัวเขียว เนื้อตัวอ่อนปวกเปียก หรือหมดสติได้
  4. โลเปอราไมด์ (Loperamide) ไม่ควรใช้ในเด็กอายุต่ำกว่า 2 ขวบ เพราะอาจกดศูนย์การหายใจ
  5. ซัลฟานาไมด์ (Sulfanamide) ห้ามใช้ในเด็กทารกอายุต่ำกว่า 2 เดือน เพราะอาจทำให้เกิด ดีซ่านและสมองพิการได้
  6. เตตร้าซัยคลิน (Tetracyclin) ห้ามใช้ในเด็กอายุต่ำกว่า 8 ขวบ เพราะอาจทำให้ฟันเหลืองดำอย่างถาวรและกระดูกเจริญเติบโตไม่ดี
  7. เดกซ์โทรเมทอร์แฟน (Dextromethorphan) ห้ามใช้ในเด็กอายุต่ำกว่า 2 ขวบ เพราะยาอาจกดศูนย์กลางการหายใจ

ลูกป่วย

ทั้งนี้ในเรื่องของการรับยา และให้ยากับลูกน้อย สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่กำลังจะให้ยากับลูกด้วยตัวเอง ก็ต้องมีกลเม็ดเคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ ที่จะทำให้การให้ยาเด็กมีประสิทธิภาพและได้ผลมากยิ่งขึ้น ดังนี้ค่ะ

กลเม็ดเคล็ดลับการให้ยาเด็ก

  1. ต้องใจเย็นและมีความอดทน เพราะโดยธรรมชาติของเด็กส่วนใหญ่มักไม่ชอบกินยา ควรพยายามหว่านล้อมและชักจูงเด็กมากกว่าที่จะใช้วิธีบังคับ เพราะยิ่งจะทำให้ให้เด็กกินยา ยากยิ่งขึ้น
  2. ไม่ควรบีบจมูกแล้วกรอกยาใส่ปากเด็กและไม่ควรป้อนยาให้เด็กขณะที่เด็กกำลังร้องหรือดิ้น เพราะนอกจากจะทำให้เด็กสำลักแล้ว ยังส่งผลทางด้านจิตใจต่อเด็กด้วย
  3. หากยามีรสชาติไม่ดีหรือมีกลิ่นไม่น่าทาน ควรผสมน้ำเชื่อมเพื่อเพิ่มรสชาติที่ดี ทำให้เด็กกินยาได้ง่ายขึ้น
  4. ไม่ควรใส่ยาลงไปในขวดนมเพื่อให้เด็กได้รับยาจากการดูดนม เพราะถ้าเด็กดูดนมไม่หมด จะทำให้เด็กได้รับยาไม่ครบตามจำนวนที่ควรจะเป็น นอกจากนั้นยาบางชนิดอาจทำให้รสชาติของนมเสียไป อาจส่งผลให้เด็กไม่อยากกินนมอีกด้วย
  5. ไม่ควรให้ยาพร้อมกับอาหารที่จำเป็นต่อเด็ก เพราะจะทำให้เด็กปฏิเสธอาหารเหล่านั้นในภายหลัง
  6. ใช้อุปกรณ์มาตรฐานในการตวงยาให้เด็ก ไม่ควรใช้ช้อนทานข้าวหรือช้อนชงกาแฟที่ใช้ในครัวเพราะจะทำให้ได้ปริมาณยาที่ไม่ถูกต้อง และขนาดมาตรฐานในการตวงยาที่ใช้กันอย่าง แพร่หลายคือ 1 ช้อนชา เท่ากับ 5 มิลลิลิตร และ 1 ช้อนโต๊ะ เท่ากับ 15 มิลลิลิตร
⇒ Must read : 8 เทคนิคป้อนยาลูก เมื่อลูกกินยายาก

เมื่อ ลูกป่วย ในเรื่องของการให้ยากับลูกแม้จะเป็นเรื่องที่ยากกว่าการให้ยาผู้ใหญ่ แต่เชื่อว่าไม่ได้เป็นเรื่องที่ยากเกินกว่าที่คุณพ่อคุณแม่จะศึกษา เพราะเด็กไม่ใช่ผู้ใหญ่ตัวเล็ก ดังนั้นการให้ยาเด็กจึงมีความแตกต่างจากผู้ใหญ่ในหลายประเด็น ไม่ใช่เพียงแต่ขนาดยาที่แตกต่างกันเท่านั้น นอกจากนั้นการให้ยาเด็กควรมีจิตวิทยาพอสมควร เพราะเด็กส่วนใหญ่มักไม่ชอบทานยา อีกทั้งเด็กยังไม่เข้าใจเหตุผลของการกินยา แต่เมื่อถึงเวลาที่เด็กต้องกินยา คุณพ่อคุณแม่ควรหาวิธีที่เหมาะสมเพื่อทำให้การให้ยาเป็นไปตามที่ควรจะเป็นและถูกต้องตามที่แพทย์หรือเภสัชกรแนะนำ

อ่านต่อ “บทความดี ๆ น่าสนใจ”คลิก!


ขอบคุณข้อมูลจาก : www.breastfeedingthai.com ,  webnotes.fda.moph.go.th , www.vibhavadi.com

เรื่องที่คนอ่านมากสุด

keyboard_arrow_up