สารเคมีรั่วไหล สารพิษ ปฐมพยาบาลอย่างไรดี??
วิธีปฐมพยาบาลเมื่อได้รับสารพิษเข้าตา หรือผิวหนัง
- ล้างสารพิษด้วยน้ำไหลผ่านอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าสารพิษจะเข้าตา หรือถูกผิวหนัง ให้ล้างบริเวณที่ถูกสารเคมีจนกว่าจะได้รับการปฐมพยาบาลจากทีมแพทย์ หรือจนกว่าความระคายเคืองจะลดลง
- ถ้าสารเคมีถูกเสื้อผ้าให้ถอดเสื้อผ้าออกก่อน
- อย่าใช้ยาแก้พิษทางเคมี เพราะความร้อนที่เกิดจากปฏิกิริยาอาจทำให้เกิดอันตรายมากขึ้น
- บรรเทาอาการปวด และรักษาช็อก
- ปิดแผล หรือปิดตา แล้วนำส่งโรงพยาบาล
สิ่งที่ไม่ควรทำ เมื่อได้รับสารพิษเข้าตา หรือผิวหนัง
ไม่ควรล้างตา หรือผิวหนังบริเวณที่ถูกสารเคมีด้วยน้ำในภาชนะ เพราะสารเคมีจะยังคงอยู่ในน้ำในภาชนะนั้น ๆ และวนกลับมาโดนร่างกายได้อีก แนะนำและเน้นย้ำให้เป็นน้ำไหลผ่าน จะช่วยเจือจางสารพิษได้
วิธีปฐมพยาบาลเมื่อได้รับสารพิษจากการสูดดม
- กลั้นหายใจและรีบเปิดประตูหน้าต่าง ๆ เพื่อให้อากาศถ่ายเท มีอากาศบริสุทธิ์เข้ามาในห้อง ปิดท่อก๊าซ หรือขจัดต้นเหตุของพิษนั้น ๆ
- นำผู้ป่วยออกจากบริเวณที่ปนเปื้อนสารเคมีที่รั่วไหล ไอระเหย หรือก๊าซพิษ ไปอยู่ในที่ที่มีอากาศถ่ายเท โดยผู้ช่วยเหลือต้องมีอุปกรณ์ป้องกันสารพิษให้พร้อมก่อน เพื่อป้องกันการเกิดเหตุร้ายซ้ำจากผู้ที่จะเข้าไปช่วยเอง
- ทำการประเมินการหายใจ และการเต้นหัวใจ ถ้าไม่มีให้ผายปอดและนวดหัวใจ โดยลักษณะการหายใจที่ผิดปกติ ได้แก่
- หายใจเร็ว จังหวะการหายใจปกติ แต่มีอัตราเพิ่มขึ้น ปกติในผู้ใหญ่หายใจ 16-20 ครั้ง/นาที เด็กเกิดใหม่ 44 ครั้ง/นาที ภาวะที่หายใจเร็ว ได้แก่ ภาวะที่มีไข้ คอพอก เป็นพิษ ขาดออกซิเจน โรคของเนื้อปอด
- หายใจช้า มักเกิดจากศูนย์การหายใจถูกกด จากยา หรือสารพิษหรือความดันในสมองเพิ่มขึ้น
- หายใจลึก สม่ำเสมอ อัตราการหายใจอาจจะปกติ ช้าหรือเร็วก็ได้ มักพบในภาวะกรดจากเมแทบอลิซึม
- หายใจแบบถอนใจ การหายใจที่มีความสม่ำเสมอ แต่มีการถอนหายใจลึกๆ เป็นระยะๆ มักพบในโรคทางระบบประสาท ในคนปกติก็มีการถอนหายใจได้ แต่ไม่สม่ำเสมอ
- นำส่งโรงพยาบาล
สิ่งที่ไม่ควรทำ เมื่อได้รับสารพิษจากการสูดดม
หากเราพบเห็นเหตุการณ์ พบผู้ที่ได้รับสารพิษจากการสูดดม แต่ไม่มีอุปกรณ์ป้องกันใด ๆ แนะนำให้โทรแจ้ง 1669 สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ ที่มีบุคลากรที่พร้อมที่จะช่วยเหลือได้มากกว่า
วิธีการเก็บสารเคมีที่เป็นพิษ
โดยปกติแล้วการเก็บสารเคมีทุกชนิด จะมีหลักการทั่ว ๆ ไป ดังนี้
- สถานที่เก็บสารควรเป็นสถานที่ปิดมิดชิด อยู่ภายนอกอาคาร ฝาผนังควรทำด้วยสารทนไฟ (กันไฟ) ปิดล็อคได้ และมีป้ายบอกอย่างชัดเจนว่า “สถานที่เก็บสารเคมี”
- ภายในสถานที่เก็บสารเคมี ควรมีอากาศเย็นและแห้ง มีระบบถ่ายเทอากาศที่ดี และแดดส่องไม่ถึง
- ชั้นวางสารเคมีภายในสถานที่เก็บสารเคมีต้องมั่นคง แข็งแรง ไม่มีการสั่นสะเทือน
- ภาชนะที่บรรจุสารเคมี ต้องมีป้ายชื่อที่ทนทานติดอยู่พร้อมทั้งบอกอันตราย และข้อควรระวังต่างๆ
- ภาชนะที่ใส่ต้องทนทานต่อความดัน การสึกกร่อนและแรงกระแทกจากภายนอก ควรมีภาชนะสำรอง ในกรณีที่เกิดการแตกหรือภาชนะรั่วจะได้เปลี่ยนได้ทันที
- ภาชนะเก็บสารที่ใหญ่ และหนักไม่ควรเก็บในที่สูง เพื่อจะได้สะดวกในการหยิบใช้
- ขวดไม่ควรวางบนพื้นโดยตรง หรือไม่ควรวางช้อนบนขวดอื่นๆ และมีระยะห่างกันพอสมควรระหว่างชั้นที่เก็บสาร ไม่ควรวางสารตรงทางแคบ หรือใกล้ประตูหรือหน้าต่าง
- ควรเก็บสารตามลำดับการเข้ามาก่อนหลัง และต้องใช้ก่อนหมดอายุ ถ้าหมดอายุแล้วต้องทำลายทันที ห้ามใช้โดยเด็ดขาด
- ควรแยกเก็บสารเคมีในปริมาณน้อยๆ โดยใช้ภาชนะบรรจุขนาดเล็ก บริเวณที่เก็บสารควรรักษาความสะอาด และให้มีความเป็นระเบียบเรียบร้อยอย่างสม่ำเสมอ และมีการจัดเรียงอย่างมีระบบ
- ต้องมีอุปกรณ์ดับเพลิง อุปกรณ์ป้องกันภัย และเครื่องปฐมพยาบาลพร้อมในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน
โดยหากเกิดเหตุการณ์อุบัติเหตุอันไม่คาดฝันจาก สารเคมีรั่วไหล ที่อาจก่อให้เกิดสารพิษทำลายร่างกายได้ ถ้าเราอยู่ในบริเวณใกล้เคียง หรือได้รับผลกระทบ ควรรีบอพยพออกมาจากจุดเกิดเหตุจะเป็นการดีที่สุด แต่หากไม่สามารถทำได้โดยทันที ควรรีบเข้าบ้าน ปิดประตู หน้าต่างให้มิดชิด สวมใส่หน้ากากป้องกันสารเคมีที่มีชั้นกรองคาร์บอน หรือหากหาไม่ได้ให้ใส่หน้ากากอนามัยสองชั้น และติดตามข้อมูลข่าวสารจากหน่วยงานราชการอย่างใกล้ชิดเพื่อเตรียมความพร้อมอยู่เสมอหากมีการประกาศอพยพ และควรเข้ารับการคัดกรองสุขภาพ และประมินสุขภาพอย่างใกล้ชิดต่อไป เพื่อสุขภาพระยะยาว
ขอขอบคุณข้อมูลจาก รศ.พญ.สาทริยา ตระกูลศรีชัย อาจารย์ประจำภาควิชาเวชศาสตร์ฉุกเฉิน และศูนย์พิษวิทยา คณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ม.มหิดล Mahidol Channel
ข้อมูลอ้างอิงจาก https://www.komchadluek.net /www.shawpat.or.th
อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่