account_circle
ทักษะที่สอง : ทักษะเอาตัวรอดจาก “คนแปลกหน้า”
ข้อมูลจากมูลนิธิกระจกเงา พบว่า เด็กที่ถูกลักพาตัว ผู้ก่อเหตุมักใช้การตีสนิทแล้วหลอกพาเด็กไป ดังนั้นการสอนให้ลูกรู้จักเอาตัวรอด เมื่อมีคนแปลกหน้าเข้ามาตีสนิท วิธีสังเกต และการป้องกันตัวควรทำอย่างไร
อ่านต่อ>> พ่อแม่ต้องอ่าน !! แนะนำ 20 วิธีสอนลูกให้ปลอดภัยจากคนแปลกหน้า
6 วิธีสอนลูกระวังภัยคนแปลกหน้า
- สอนลูกให้รู้จักความแตกต่างระหว่างการอยู่กับพ่อแม่ และการอยู่กับผู้อื่น เมื่อลูกอยู่กับพ่อแม่มักมีความสบายใจ ไม่ทันระวังตัวเอง แต่พ่อแม่ต้องสอนลูกว่าเมื่อไม่ได้อยู่บ้าน หรือมีคนอื่นอยู่ด้วย โดยเฉพาะเมื่อพ่อแม่ไม่อยู่ลูกควรระมัดระวังให้มากกว่า ไม่ใช่ว่าคนทุกคนที่พ่อแม่พูดคุยด้วย จะเป็นคนที่เราไว้ใจ หรือสนิทสนมได้
- ไม่ให้รับของจากคนแปลกหน้าเด็ดขาดไม่ว่าจะเป็นของเล่น ขนม เกม เงิน หรือของโปรดของลูก เป็นต้น ซึ่งที่ผ่านมาคนร้ายมักใช้วิธีนี้หลอกเด็กแล้วได้ผล ฉะนั้น ต้องย้ำกับลูกว่าถ้าอยากได้อะไรก็ตาม ลูกต้องมาขออนุญาตพ่อแม่ก่อนรับของจากคนอื่นทุกครั้ง รวมถึงต้องไม่ออกไปไหนกับคนแปลกหน้าเด็ดขาด หรือแม้แต่ไปกับคนรู้จักหรือใกล้ชิดก็ต้องขออนุญาตพ่อแม่ก่อนเช่นกัน
- จำเบอร์โทรศัพท์ที่สามารถขอความช่วยเหลือได้มากกว่า 2 คน รวมไปถึงสถานที่ตั้งของบ้านและบริเวณใกล้เคียง ฝึกให้ลูกเป็นคนช่างสังเกต เช่น ระหว่างเดินทางจากบ้านไปโรงเรียนต้องผ่านสถานที่ใดบ้าง บริเวณไหนเป็นบริเวณเปลี่ยว บริเวณไหนเป็นบริเวณอันตราย เป็นต้น
- ฝึกการวางแผนสำหรับการขอความช่วยเหลือ พ่อแม่อาจสมมติสถานการณ์หรือยกตัวอย่างสถานการณ์จริง และนำมาพูดคุยกับลูกเกี่ยวกับการขอความช่วยเหลือทุกที่ที่พวกเขาไป ฝึกให้ลูกมีการวางแผนขอความช่วยเหลือจากคนรอบข้าง สอนให้ลูกใช้เสียงและร่างกายในการเดินหนีจากคนแปลกหน้า หรือการใช้น้ำเสียงที่สามารถสร้างความสนใจแก่ผู้คนแถวนั้น หรือตะโกนขอความช่วยเหลือดังๆ “ช่วยด้วย” วิธีนี้จะทำให้มิจฉาชีพเดินหนีทันที
- ไม่ให้ข้อมูลส่วนตัวกับคนแปลกหน้า เช่น มีคนมาถามว่ารอคุณพ่อคุณแม่อยู่เหรอจ๊ะ หนูชื่ออะไร บ้านอยู่ไหน เดี๋ยวไปส่งให้ไหม ต้องบอกลูกว่าต้องไม่ให้ข้อมูลส่วนตัวกับคนอื่นเด็ดขาด ต้องคิดก่อนทุกครั้งที่มีคนเข้ามาทัก อย่าให้ข้อมูล และหากพ่อแม่มีการนัดหมายกับลูก ก็ต้องย้ำว่าพ่อแม่จะเป็นผู้มารับเอง จะไม่ให้คนอื่นมารับแทนเด็ดขาด
- สอนทักษะวิชาการป้องกันตัวเบื้องต้นให้แก่ลูก ปัจจุบันมีการสอนวิชาป้องกันตัวเมื่อเจอคนร้ายมากมาย ทั้งเป็นโรงเรียนสอน หรือสามารถหาข้อมูลได้จากในโลกอินเตอร์เนต พ่อแม่สามารถนำมาฝึกสอนให้กับลูกได้รู้วิธีป้องกันตัวในเบื้องต้นได้ ก็จะเป็นการดีเช่นกัน หากเป็นเด็กเล็ก การที่ลูกรู้จักการกรีดร้อง ตะโกนขอความช่วยเหลือ ก็เป็นวิชาการป้องกันตัว และเอาตัวรอดได้อย่างหนึ่ง
“อย่าคิดว่าเด็กยังเล็ก สอนไปไม่รู้เรื่อง ไม่จริง ค่อย ๆ สอน สอนซ้ำ ๆ ลูกจะเข้าใจ และเอาตัวรอดได้” พญ.พรนิภา กล่าว
ทักษะที่สาม : ทักษะเอาตัวรอดจากการ “จมน้ำ”
การสอนลูกว่ายน้ำเป็นนั้น เป็นทักษะที่จำเป็นที่เด็กควรได้รับ เมื่อเกิดการจมน้ำ เด็กจะได้สามารถช่วยเหลือตนเองได้ และการว่ายน้ำเป็นจะช่วยลดอัตราความเสี่ยงจากการจมน้ำของเด็กได้อีกด้วย ในเมื่อเด็ก และน้ำมักเป็นของคู่กัน การหลีกเลี่ยงให้เด็กเข้าใกล้แหล่งน้ำอาจจะทำได้ยาก การที่ให้เด็กเรียนรู้การว่ายน้ำให้เป็นจึงจะช่วยลดอันตรายในส่วนนี้ลงได้ แม้ในเด็กเล็กที่ปัจจุบันก็มีคอร์สเรียนการดำน้ำให้กับเด็กเล็กด้วยเช่นกัน คุณพ่อคุณแม่สามารถไปหารายละเอียดต่อได้หากสนใจเพื่อลูกน้อยของเราจะได้ไม่รู้สึกเสียใจในภายหลัง
ประโยชน์ของการที่เด็กว่ายน้ำเป็น
- สำหรับเคสเด็กเล็กๆ น้องๆหลักเดือนที่อาบน้ำในอ่าง แล้วเผลอเรอลื่นตัวไหลจมลงในน้ำ เด็ก ๆ จะมีทักษะในการกลั้นหายใจได้ ทำให้เด็ก ๆ ไม่สำลักน้ำ
- กรณีที่ หากเป็นอุบัติเหตุที่เกิดจากแหล่งน้ำ หรือสระว่ายน้ำ หากเป็นเด็กที่ได้รับการฝึกแล้วจะสามารถกลั้นหายใจ ดำน้ำ แล้วควบคุมตัวเอง พาตัวเองไปยังจุดที่ปลอดภัยได้ในระยะเวลาสั้น ๆ
อ่านต่อ>> ผู้เชี่ยวชาญแชร์!! วิธีช่วยเหลือ+ป้องกันเมื่อเด็ก “จมน้ำ”
วิธีฝึกเด็กวัยอนุบาลให้คิดพลิกแพลงแก้ปัญหาเก่ง
เด็กที่มีความยืดหยุ่นทางความคิดจะเป็นเด็กที่คิดพลิกแพลงแก้ปัญหาเก่ง ไม่ว่าทักษะใด ๆ ที่เราสอนให้กับลูก หากเด็กไม่สามารถคิดพลิกแพลง และแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้แล้ว ก็คงไม่สามารถดึงเอาความรู้นั้น ๆ มาใช้แก้ปัญหาเมื่อยามมีภัยได้ ซึ่งโดยปกติแล้ว เด็กวัยอนุบาลจะแก้ปัญหาในเรื่องเหล่านี้ได้แล้ว อย่าไปคิดว่าลูกยังคงเล็กเกินกว่าจะทำได้ แต่อย่างไรก็ตามพ่อแม่ต้องรู้วิธีในการฝึกฝนทักษะเหล่านี้ให้แก่ลูกด้วย มาดูพัฒนาการที่เด็กแต่ละวัยรับรู้กันว่าเป็นอย่างไร
- ช่วงวัย 3 ขวบ
แก้ปัญหาในการทำกิจวัตรประจำวันได้ แต่ยังลองผิดลองถูก เช่น สวมเสื้อแต่กลับด้าน ติดกระดุมเหลื่อม สวมรองเท้าผิดข้าง รู้จักถามเพื่อให้ได้วิธีการแก้ปัญหา
- ช่วงวัย 4 ขวบ
แก้ปัญหาโดยใช้อุปกรณ์ช่วย เช่นใช้ไม่เขี่ยของที่เอื้อมหยิบไม่ถึง
- ช่วงวัย 5 ขวบ
รู้จักแก้ปัญหาได้หลายวิธี และรู้จักเลือกวิธีที่เหมาะสม
เริ่มฝึกให้ลูกมีความคิดยืดหยุ่น แก้ปัญหาเก่งกันเลย
- ปล่อยให้เด็กได้ช่วยเหลือตัวเองในเรื่องต่าง ๆ โดยเฉพาะในการทำกิจวัตรประจำวันให้มากที่สุด
- หากเด็กทำไม่ได้ พ่อแม่ต้องไม่ดุด่าว่ากล่าว ต้องเข้าใจในขีดความสามารถของเด็กในแต่ละช่วงวัย
- ลองปล่อยให้ลูกแก้ปัญหาด้วยตัวเองดูเสียก่อน อาจจะช่วยด้วยการตั้งคำถามปลายเปิดเพื่อกระตุ้นให้เด็กใช้ความพยายามคิดวิธีการแก้ปัญหาได้ง่ายขึ้น
- อย่าตัดสินว่าวิธีการของลูกที่คิดมาใช้ไม่ตั้งแต่ยังไม่ลองลงมือทำ ถึงแม้ว่าเราจะพอเดาได้ล่วงหน้า แต่ต้องให้ลูกได้เผชิญด้วยตัวเองว่า วิธีนั้นทำไม่ได้ด้วยตัวเองไม่ใช่จากคำพูดของพ่อแม่เท่านั้น
- ในขั้นต้น อาจฝึกให้ลูกลองคิดแก้ปัญหาด้วยการสมมุติตัวเองในนิทาน หากเป็นตัวละครในนั้น แล้วลูกจะแก้ปัญหาอย่างไร ให้เขาอธิบายออกมา
- ฝึกให้เด็กคิดนอกกรอบ ด้วยการเล่นเกมต่าง ๆ ที่ต้องคิดหาทางออก หรือหากลูกคิดวิธีที่ผิดแผก แตกต่างไปบ้างก็ไม่ควรปิดกั้น
ไม่ว่าอุบัติเหตุใดที่เกิดขึ้นกับเด็ก การมาแก้ไขที่ปลายเหตุ ย่อมเกิดการสูญเสียไม่มากก็น้อย ฉะนั้นสิ่งที่ดีที่สุดคือ การป้องกัน ตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุ จะช่วยลดเหตุสลดใจที่เกิดขึ้นได้ดีกว่า และไม่ควรชะล่าใจ เพราะอุบัติเหตุใกล้ตัวกว่าที่เราคาดคิด โปรดฝึก และสอนลูกน้อยของคุณด้วยทักษะ วิธีเอาตัวรอด ต่าง ๆ เหล่านี้ เพื่อป้องกันเหตุร้ายกันเถอะ
ข้อมูลอ้างอิงจาก สถาบันราชานุกูล /www.rlg-ef.com
อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่