อาการของโรค
เริ่มจากอาการปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน อาจมีไข้ต่ำๆ หรือมีไข้สูงก็ได้ เบื่ออาหาร ถ่ายเหลวเป็นน้ำ อาจมีมูกแต่ไม่มีเลือด กลิ่นไม่เหม็นคาว ส่วนใหญ่มีอาการ 3 – 7 วัน แต่บางรายอาจนานถึง 2 สัปดาห์ ความรุนแรงขึ้นอยู่กับระดับภูมิต้านทาน บางคนรุนแรงน้อย อาเจียนไม่กี่ครั้ง ให้ยากินระงับอาเจียนก็ดีขึ้น แต่บางคนต้องฉีดยาหรือนอนโรงพยาบาลเพื่อให้น้ำเกลือทางเส้นเลือด
อาการอื่นๆ ที่อาจพบได้ เช่น
- มีไข้อาจหนาวสั้น
- ปวดศีรษะ
- ปวดกล้ามเนื้อ ปวดเนื้อตัว ปวดข้อ
- เหงื่อออกมาก
- อ่อนเพลีย
กรณีอาการรุนแรงอาการที่พบได้ เช่น
- กระหายน้ำมากหรือเกิดภาวะขาดน้ำ
- ตาแห้ง เบ้าตาลึก (Sunken eyes) ปากแห้ง น้ำลายเหนียว
- ผิวแห้ง/ผิวหนังแห้ง
- ปัสสาวะน้อยจนถึงไม่มีปัสสาวะ
- อ่อนเพลียมาก ซึม กระสับกระส่าย
- กิน/ดื่มไม่ได้ มีท้องเสียทุกครั้งที่กิน/ดื่ม
- ท้องเสีย อาเจียน ไม่หยุด
- ไข้สูง
- เป็นลม
ทำอย่างไรเมื่อลูกป่วยท้องเสีย
- การดูแลเบื้องต้น คือ ให้ยาระงับอาการ เช่น ยาลดไข้ ยาแก้อาเจียน ยาแก้ปวดท้อง ยาขับลม
- ยาแก้อาเจียน คือ Domperidone หรือ Motilium ขนาดยาคือ ช้อนชา (2.5 ซีซี) ต่อน้ำหนักตัว 10 กิโลกรัม กินก่อนอาหารครึ่งชั่วโมง วันละ 3 – 4 ครั้ง ไม่ควรกินยาแล้วกินอาหารทันทีเพราะอาจอาเจียนได้อีก เนื่องจากยายังไม่ได้ดูดซึมเข้าร่างกาย
- ยาแก้ปวดท้อง คือ Berclomine ให้ในรายที่มีอาการปวดเกร็งปวดบิด ขนาดยาเหมือนยาแก้อาเจียน แต่กินหลังอาหาร
- ยาขับลม คือ Simethicone แก้ท้องอืด ลดแก๊ส กินครั้งละ 0.5 – 1 ซีซี ทุก 2 – 4 ชั่วโมง
- ให้อาหารอ่อนย่อยง่ายครั้งละน้อยๆ เช่น ข้าวต้มครั้งละ 5 – 6 คำแต่ให้บ่อยๆ ไม่เลี่ยนมัน หากลูกกินนมผสม ให้ชงนมจางกว่าปกติ ให้ดื่มครั้งละไม่เกินครึ่งหนึ่งของปริมาณปกติ เพื่อไม่ให้ลำไส้ทำงานหนัก
- ให้จิบน้ำเกลือแร่ ORS จะได้ไม่มีอาการอ่อนเพลียจากการเสียสมดุลเกลือแร่ในร่างกาย ไม่ให้น้ำหวาน น้ำอัดลม หรือน้ำเกลือแร่สำหรับผู้เสียเหงื่อจากการเล่นกีฬา เพราะน้ำตาลที่เข้มข้นมากเกินไปจะทำให้ท้องเสียมากขึ้น เนื่องจากน้ำตาลที่ระดับความเข้มข้นไม่เหมาะสมจะดึงน้ำออกจากเซลล์เยื่อบุลำไส้มากขึ้น
- งดของแสลงเวลาที่ท้องเสีย จนกว่าอาการจะดีขึ้น เช่น ผัก ผลไม้ ไข่ นมวัว แล้วเปลี่ยนเป็นนมถั่วเหลืองหรือนมวัวสูตรพิเศษที่ไม่มีน้ำตาลแล็กโทส หากลูกไม่ยอมเปลี่ยนนม อาจลองชงนมเดิมที่กินอยู่ แต่ให้เจือจางกว่าปกติเท่าตัว (มักหายช้ากว่าเปลี่ยนเป็นนมที่ไม่มีน้ำตาลแล็กโทส)
สำหรับเด็กที่กินอาหารเสริมแล้ว หากชงนมผสมเจือจางแล้วยังมีอาการถ่ายเหลวไม่หยุด แต่ไม่ยอมกินนมถั่วเหลือง ให้เน้นกินข้าวต้มหรือโจ๊กใส่เนื้อสัตว์เล็กน้อย และน้ำข้าวต้มใส่เกลือเล็กน้อย แล้วงดนมวัวไปได้เลย เมื่ออาการดีขึ้นต้องค่อยๆ กลับไปกินอาหารตามปกติ อย่ารีบร้อนเปลี่ยนกลับทันที เพราะอาจกลับไปท้องเสียใหม่ได้ ในกรณีที่ลูกดูดนมแม่ สามารถให้ได้ตามปกติ ไม่ต้องงดค่ะ
- คอยระวังก้นแดงจากการถ่ายบ่อย ต้องคอยเปลี่ยนผ้าอ้อมทันทีอย่าแช่นาน และควรพาไปล้างก้นด้วยน้ำธรรมดา ไม่ต้องอุ่นและไม่ต้องใช้สบู่ เพราะจะทำให้ผิวหนังแห้งเป็นผื่นง่าย อาจทาวาสลีนหรือปิโตรเลียมเจลเคลือบผิวบริเวณก้น เพื่อช่วยบรรเทาการระคายเคืองจากเศษอุจจาระ จะช่วยป้องกันไม่ให้ก้นแดงได้
- ห้ามให้ยาหยุดถ่ายในเด็ก เพราะทำให้เชื้อโรคคั่งในร่างกายจนเป็นอันตรายหรือมีอาการปวดมวนท้องมากขึ้น
อาการไหน ควรพาลูกไปหาหมอ?
- ลูกยังอาเจียนอยู่ทั้งที่รับประทานทานยาแก้อาเจียนแล้ว
- ไม่อาเจียนแล้ว แต่รับประทานอาหารไม่ได้
- มีอาการซึม อ่อนเพลีย มีอาการของการขาดน้ำและปัสสาวะออกน้อย
- ถ่ายอุจจาระมีมูกเลือด หรือกลิ่นแรงเหม็นคาว หรือถ่ายรุนแรงมากเป็นน้ำตลอดเวลา กรณีนี้ควรนำอุจจาระไปโรงพยาบาลด้วยเพื่อส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการและเพาะเชื้อต่อไป
การรักษาโรคไวรัสลงกระเพาะในเด็ก เมื่อถึงมือหมอ
- หมอจะฉีดยาแก้อาเจียนเข้ากล้ามเนื้อต้นขาหรือสะโพก สังเกตอาการประมาณครึ่งชั่วโมง แล้วให้ลองจิบน้ำ ถ้าไม่มีอาเจียนอีกให้กลับไปดูอาการต่อที่บ้านได้ ยาฉีดจะออกฤทธิ์นาน 6 ชั่วโมง เมื่อใกล้หมดฤทธิ์ยาฉีด ให้ยาแก้อาเจียนกินต่อเนื่องอีกประมาณ 1 – 2 วัน แต่ถ้าฉีดยาแล้วยังมีอาเจียนอีก หรือไม่อาเจียนแล้วแต่ไม่ยอมกินอะไรเลย หมอจะรับตัวไว้ในโรงพยาบาลแล้วให้น้ำเกลือทางเส้นเลือดเพื่อแก้ไขภาวะขาดน้ำ และพลังงาน
- หมอจะตรวจปัสสาวะเพื่อประเมินภาวะขาดน้ำและพลังงาน หากพบว่ามีภาวะขาดน้ำและพลังงานขั้นรุนแรงจะรับตัวไว้ในโรงพยาบาล
- หมออาจสั่งยา Infloran ซึ่งเป็นเชื้อ lactobacilli ช่วยปรับสภาพลำไส้ในกรณีที่มีภาวะท้องเสียเรื้อรังเนื่องจากการดูดซึมบกพร่อง
ทั้งนี้วิธีการป้องกันลูกน้อย ไม่ให้ป่วยเป็นไวรัสลงกระเพาะ สำหรับลูกโตควรให้ล้างมือให้สะอาดก่อนหยิบอาหารเข้าปาก กินแต่อาหารที่ปรุงสุก ไม่มีแมลงวันตอม หลีกเลี่ยงการใกล้ชิดหรือสัมผัสสารคัดหลั่งจากผู้เป็นโรค และล้างมือทุกครั้งหลังสัมผัสโรค สำหรับลูกเล็กควรให้ลูกดื่มนมแม่ เพราะในนมแม่มีสารต้านไวรัสและแบคทีเรียรวมถึงลดโอกาสการปนเปื้อนจากภาชนะที่ไม่สะอาด และในปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันไวรัสโรต้าซึ่งเป็นสาเหตุที่พบบ่อยของโรคนี้ในเด็กเล็ก เป็นวัคซีนชนิดรับประทาน ซึ่งสามารถรับได้เมื่อเด็กอายุ 2 เดือน วัคซีนนี้จะทำให้เด็กมีภูมิคุ้มกันโรคเพิ่มมากขึ้น
อ่านต่อ “บทความดีๆ น่าสนใจ” คลิก!
- ไวรัสลงกระเพาะในเด็กเล็ก
- เด็กท้องเสีย อาเจียน เพราะโนโรไวรัสระบาด
- ลำไส้กลืนกัน ความเจ็บปวดของลูกน้อยที่บอกไม่ได้
- เสียหลานชายวัย 1 ขวบ เพราะ โรต้าไวรัส
ขอขอบคุณข้อมูลเรื่องจาก : พญ.สุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านทารกแรกเกิด