โรคตุ่มน้ำพอง เกิดจาก !?
ทั้งนี้โรคตุ่มน้ำพอง ไม่ได้เกิดจากเชื้อโรค ไม่ใช่โรคติดต่อ แต่เกิดจากภูมิเพี้ยน เนื่องจากร่างกายจากที่เคยมีภูมิต้านทานคอยป้องกันเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอม แต่บางครั้งภูมิเกิดเพี้ยน มาทำอันตรายร่างกายตัวเองจนเกิดเป็นโรคนี้ หรืออาจเกิดร่วมกับการมีปัจจัยทางพันธุกรรมหรือสิ่งแวดล้อมอื่น เช่น เชื้อโรคหรือสารเคมีเป็นปัจจัยกระตุ้น
โรคเพมฟิกอยด์ หรือ โรคตุ่มน้ำพอง มีอาการอย่างไร?
แพทย์หญิงมิ่งขวัญ วิชัยดิษฐ ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ กล่าวว่า ลักษณะเด่นของโรคนี้ ที่ต่างจากเพมฟิกัส คือ
- ตุ่มพองจะเต่งตึงแตกได้ยาก เนื่องจากการแยกตัวของผิวอยู่ในตำแหน่งที่ลึกกว่าเพมฟิกัส
- มักพบตุ่มน้ำพองมากในตำแหน่งท้องส่วนล่าง แขนขาด้านใน บริเวณข้อพับ และส่วนน้อยที่จะมีแผลในปาก
- สามารถพบโรคเพมฟิกอยด์ได้บ่อยในคนสูงอายุ ทั้งสองโรคนี้แยกกันได้จากอาการ และการตัดชิ้นเนื้อไปตรวจเพิ่มเติม
คำแนะนำเมื่อสงสัยว่าป่วย
กรณีที่สงสัยว่าจะเป็นโรคตุ่มน้ำพองแนะนำให้รีบพบแพทย์ เพื่อจะได้รับการวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้อง จะช่วยลดโอกาสการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่อาจเป็นสาเหตุให้เสียชีวิตได้ … ทั้งนี้สาเหตุของโรค 90% เกิดขึ้นเองโดยไม่ทราบสาเหตุ วิธีป้องกันจึงไม่มี หากรู้ว่าเป็นก็รีบพบแพทย์ เพื่อรับการรักษา
วิธีรักษาโรคเพมฟิกอยด์ หรือ โรคตุ่มน้ำพอง
ยาที่ใช้รักษาหลัก คือ ยาทาสเตียรอยด์ จะใช้เป็นการรักษาหลักในผู้ป่วยที่มีตุ่มน้ำเฉพาะที่ กรณีที่ตุ่มน้ำกระจายทั่ว ร่างกาย การรักษาด้วยยาสเตียรอยด์ชนิดรับประทาน หรือร่วมกับยากดภูมิต้านทาน จะช่วยควบคุมโรคได้ โดยหากเปรียบเทียบกับโรคเพมฟิกัสแล้ว โรคเพมฟิกอยด์จะใช้ยากดภูมิในขนาดที่น้อยกว่า และตอบสนองต่อการรักษาได้ดีกว่าเพมฟิกัส ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ อาจจะมีตุ่มน้ำขึ้นเป็นๆหายๆ ในระยะเวลา 2-3 ปี และสามารถหายเป็นปกติได้ และในปัจจุบันมีการรักษาด้วยยาฉีดที่ออกฤทธิ์โดยตรงต่อภูมิต้านทานที่ทำงานผิดปกติ ซึ่งพบว่าสามารถควบคุมโรคได้ดี มีผลข้างเคียงน้อยกว่ายากดภูมิต้านทานชนิดรับประทาน
คำแนะนำในการปฏิบัติตัว การดูแลโรคเบื้องต้นด้วยตนเอง เมื่อเป็นโรคเพมฟิกอยด์
- ควรมาพบแพทย์สม่ำเสมอ ไม่ควรหยุดยา หรือปรับลดยาเอง
- ควรทำความสะอาดร่างกายอย่างสม่ำเสมอ บริเวณที่เป็นแผลให้ใช้น้ำเกลือทำความสะอาด ใช้แปรงขนอ่อนทำความสะอาดลิ้น และฟัน
- ไม่แกะเกาผื่น เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ
- หากมีแผลในปาก ควรงดอาหารรสจัด งดรับประทานอาหารแข็ง เช่น ถั่ว ของขบเคี้ยว เนื่องจากอาจกระตุ้นการหลุดลอกของเยื่อบุในช่องปาก
- โรคนี้ทำให้มีภาวะภูมิต้านทานต่ำ จากการได้รับยากดภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้ติดเชื้อง่าย จึงควรหลีกเลี่ยงการใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่เป็นโรคติดเชื้อ ไม่ไปในสถานที่แออัด
- หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักๆ
- ไม่ควรใส่เสื้อผ้ารัดคับ เพื่อลดการถลอกที่ผิวหนัง
- หลีกเลี่ยงแสงแดด และความเครียด ซึ่งเป็นปัจจัยกระตุ้นที่สำคัญ
- การได้รับยากดภูมิต้านทาน อาจมีผลกระทบต่อโรคประจำตัวได้ เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ควรได้รับการรักษาควบคู่กันไป นอกจากนี้หากมีอาการปวดท้องอุจจาระดำ อาเจียนเป็นเลือด ควรแจ้งให้แพทย์ทราบ
ในช่วงที่โรคยังไม่สงบ ไม่ควรตั้งครรภ์ เนื่องจากยาที่ใช้ควบคุมโรคอาจมีผลต่อทารกในครรภ์
ซึ่งหากดูแลสุขภาพและแผลอย่างถูกวิธี จะช่วยให้โรคสงบได้เร็วขึ้น ทำให้เด็กหรือผู้ที่ป่วยเป็น โรคตุ่มน้ำพอง สามารถดำรงชีวิตได้เหมือนคนปกติทั่วไป ไม่มีรอยโรคใหม่เกิดขึ้น
อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิก :
- ทำอย่างไรเมื่อลูกน้อยมีผดผื่น ?
- ผดผื่นทารก มีวิธีป้องกันได้อย่างไร?
- เคล็ด(ไม่)ลับ ช่วยลด “ผดผื่น ผดร้อน” ให้ลูกน้อย
- เตือนคุณแม่ ติดไข้ออกผื่นจากลูก กินแต่ยาเขียว เสี่ยงปอดอักเสบ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก :กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข inderm.go.th , www.si.mahidol.ac.th , www.dst.or.th
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่