แม่แชร์ประสบการณ์ ลูกเป็นมะเร็ง (ต่อ)
พอได้คำตอบที่เรารู้สึกว่าลูกไม่น่าจะแค่ลำไส้อักเสบแล้วล่ะ เราก็เลยรีบค้นหาหมอทางเดินอาหารที่คิดว่าเก่งและนัดวันไปตรวจอย่างไวที่สุด จึงได้เจอชื่อคุณหมอรามาฯ ท่านนึง แต่คิวที่ได้นั้นไม่น่าจะทันการ เราจึงเซริชว่าท่านได้เข้าเป็น Part time ที่ปรึกษาให้รพ.เอกชนชื่อดังด้วย เราจึงไปรพ.เอกชนนั้นก่อนหาหมอทางเดินอาหารที่นั้นและแจ้งความต้องการว่าอยากให้ปรึกษากับหมอรามาท่านนี้ด้วย เราจึงแอดมิดให้ถึงมือหมออย่างไวที่สุดเพื่อตรวจหาสิ่งผิดปกติถึงอาการอาเจียนที่ไม่หายซักที คือช่วงนั้นน้องยังคงพะอืดพะอมทุกเช้า มีอ้วกพุ่งบ้างไม่พุ่งบ้าง แต่ไม่หายซักทีจนผิดสังเกต
หมอที่ใหม่เริ่มจับตรวจระบบทางเดินอาหารใหม่หมด ซึ่งรอบนี้ผลออกมาปกติดีทุกอย่างทั้งการอัลตร้าซาวด์ที่ท้อง (ที่เก่าไม่ได้ทำ) ก็ไม่ได้ดูมีก้อนเนื้ออะไร การเอกซเรย์ และจับกลืนแป้งเอกซเรย์สดๆ อีกครั้ง ซึ่งก็เห็นว่าแป้งผ่านซึมลงลำไส้ด้วยดี ไม่มีความผิดปกติของหูรูด และด้วยประสบการณ์หมอรามาท่านนี้ เค้าเลยให้ตรวจโรคเกี่ยวกับสมองเพิ่มด้วย เพราะอาจสัมพันธ์กับอาการอาเจียนเช่นกัน หลังอัลตร้าซาวด์ที่หัว (น้อง 10 เดือนกว่า กระหม่อมหน้ายังไม่ปิด จึงทำได้)
พบว่า… โพรงน้ำในสมองใหญ่กว่าปกติ น่าจะมีการตีบตันตรงทางเดินที่จะส่งน้ำจากโพรงสมองไปไขสันหลัง(บริเวณท้ายทอย) ซึ่งอัลตร้าซาวด์ไม่สามารถมองเห็นได้ จึงให้เข้าอุโมงค์ วางยานอนหลับทำ MRI เพื่อตรวจละเอียด ตอนเราเริ่มใจคอไม่ดี สงสัยว่าทำไมหมอไม่ส่องกล้องก่อน ทำไมต้อง MRI สมองเลย หมอบอกการส่องกล้องทำเมื่อไหร่ก็ได้ เพราะดูเบื้องต้นไม่มีอะไรผิดสังเกต แต่ที่สมองตอนนี้เริ่มผิดสังเกตที่น้ำในโพรงสมอง ดังนั้นจึงควร MRI ให้แน่ชัดก่อน
หลัง MRI หลายชั่วโมง จนฟื้นจากการดมยา (เพราะเป็นเด็กเล็กต้องมีหมอดมยาประกบระหว่างการทำตลอดเวลา) พอเข้าห้องปุ๊บอาจารย์หมอทางด้านระบบสมองของรพ.ก็เดินเข้ามาคุยที่ห้องด้วย แน่นอนดูไม่ใช่เรื่องดีนัก หมออธิบายว่า…พบว่า มีเนื้องอกในสมอง อยู่ ซึ่งตำแหน่งติดกับแกนประสาทบริเวณท้ายทอย เลยทำให้น้ำในโพรงสมองไหลผ่านไม่ได้ดี เลยทำให้โพรงสมองใหญ่กว่าปกติและเกิดความดันในสมอง ซึ่งก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้อาเจียนบ่อยๆ มานานโดยที่เราไม่รู้ แถมขนาดที่วัดได้จาก MRI เฉลี่ยง่ายๆ ก็ประมานเกือบ 4 ซม.เป็นก้อนกลมๆ ในเด็กวัย10เดือนกว่า (ตอนที่เจอ) หมอฟันธงให้เตรียมใจเลยว่าไม่ใช่เนื้อดี เพราะดูโตเร็วมาก ตอนที่หมอแจ้งมาเสร็จ เรียกได้ว่าเหมือนโลกถล่ม น้ำตาเราไหลออกมาแบบไม่รู้จะบรรยายยังไง ไม่เคยคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นแบบนี้กับลูกเรา โรคมะเร็งในเด็ก ที่เคยคิดว่าไกลตัวกับใกล้นิดเดียว มันเหมือนฝันร้ายที่อยากตื่นให้หายไป
ยังไม่ทันร้องไห้เต็มที่เราก็ต้องตั้งสติใหม่ เพราะหมอแจ้งว่ารพ.เอกชนอันดับต้นๆ อย่างเค้า ไม่มี ICU เด็กเล็ก จึงไม่พร้อมที่จะทำการรักษาต่อต้องส่งไปรพ.รัฐที่มีโรงเรียนแพทย์เท่านั้น ทางรพ.จะช่วยติดต่อส่งตัวให้ ทั้งศิริราช รามา จุฬา แต่ก็ต้องรอเค้าติดต่อกลับมาว่าใครจะว่างรับเคสเราได้ก่อน ซึ่งระหว่างนี้ถ้าทางครอบครัวมีคนรู้จักช่วยให้หมอที่ไหนรับเคสได้ก็รีบติดต่ออย่างเร็วที่สุด เย็นวันนั้นครอบครัวเราโทรหาความช่วยเหลือสายแทบไหม้ แต่ก็ยังไม่มีความคืบหน้านัก วันถัดมาช่วงสายๆ มีรพ.นึงติดต่อกลับมาว่าสามารถส่งตัวน้องไปได้ ตกเย็นจัดการเอกสารเรียบร้อยไม่รอช้ารีบส่งด่วนขึ้นรถรพ.ไปทันที
เป็นคืนแรกตั้งแต่เค้าเกิดมา ที่เค้าไม่ได้นอนกับแม่ แต่ต้องไปนอน ICU ที่มีเวลาเยี่ยมตามกำหนด ตอนนั้นเค้ายังไม่มีอาการผิดปกติอะไร ยังเล่นได้กินได้ มีอาเจียรบ้างตามอาการ แต่ต้องนอน ICU 1 คืน เพื่อสังเกตอาการ เช้าวันถัดมาถึงได้ย้ายเข้าห้องพิเศษรวม(มี4เตียง)ให้ญาติผู้หญิงนอนเฝ้าไข้ได้ ตามสิทธิบัตรทองที่ส่งด่วนมา ต้องขอบคุณรพ.เอกชนที่ส่งตัวมามาก ที่ช่วยแจ้งดำเนินเรื่องสิทธิบัตรทองให้โดยที่เราไม่รู้อะไรเลย ช่วยประหยัดไปได้มาก
ยังมีความโชคดีที่ได้ อ.หมอสูงสุดของภาควิชาศัลยกรรมสมองมาดูแลเคส จากความร่วมมือของคนรู้จักแนะนำส่งต่อให้ ลิด้านอนรอที่รพ.ประมาน 1 อาทิตย์เพื่อให้หมอประชุมหลายๆทีมและเตรียมความพร้อมต่างๆ ก่อนผ่า พร้อมมาสรุปว่าแผนเป็นอย่างไร จะทำอะไรกับน้องบ้าง
หลังผ่าทีมหมอแจ้งว่า… ไม่สามารถนำก้อนเนื้อออกมาได้เยอะตามแผนที่วางไว้ เพราะเลือดออกมากและจะเป็นอันตรายถึงชีวิตถ้ายังฝืนผ่าต่อ เลยได้แต่พอสะกิดชิ้นเนื้อบางส่วนไปตรวจ พร้อมใส่สายระบายน้ำแบบชั่วคราวเพื่อดูอาการการระบายน้ำจากโพรงสมอง ช่วงนี้จะมีสายระบายน้ำจากหัวต่อออกมาที่ถุงข้างรอกแขวนไว้หัวเตียง ห้ามน้องนั่ง ต้องนอนตลอดพลิกไปมา ถัดจากนั้นประมานอาทิตย์กว่าจึงผ่าใหม่อีกครั้ง เป็นการฝังสายระบายไว้ที่หัวถาวร (เรียกสายshunt) และระบายน้ำลงสู่ช่องท้อง ซึ่งทุกครั้งที่ผ่าก็จะมีดมยาและไปนอนที่ ICU ดูอาการประมาน1คืน ถึงตรงนี้คือเข้าไปนอนมาแล้ว 3 ครั้ง