เช็ก 4 อาการสัญญาณ โรคลมร้อน ช่วยลูกไม่ทันเสียชีวิตได้
หลังจากที่อาการแปรปรวนร้อน หนาว ฝนตกอยู่ช่วงหนึ่ง ตอนนี้หน้าร้อนที่แท้จริงก็กลับมาแล้วนะคะ ทั้งแดด ทั้งอุณหภูมิย่อมทำให้ทั้งคุณพ่อคุณแม่และลูกน้อย เพลียหมดแรงไปตาม ๆ กัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เด็กเล็ก แม่ท้อง ยิ่งจะมีปฏิกิริยาต่ออากาศที่ร้อนจัดได้มาก ต้องหมั่นสังเกตุ 4 อาการเหล่านี้ให้ดีๆ นะคะ เพราะอาจเกิดอาการ โรคลมร้อน จนได้รับอันตรายถึงแก่ชีวิตได้เลยค่ะ
โรคลมร้อน หรือโรคลมแดด (heat stroke)
โรคลมร้อนหรือโรคลมแดด เป็นภาวะที่อุณหภูมิแกนของร่างกายสูงเกิน 40 องศาเซลเซียส (104 องศาฟาเรนไฮต์) ร่วมกับความผิดปกติของระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้มีอาการสับสน เพ้อ ชักเกร็ง ซึม หรือหมดสติ และอาจส่งผลต่อการทำงานของร่างกายทุกระบบได้ ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิต จัดเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ ต้องได้รับการวินิจฉัยอย่างถูกต้องและรักษาทันที เพื่อให้ผู้ป่วยมีชีวิตรอดและสามารถฟื้นคืนสู่สภาพร่างกายที่ปกติได้
โรคนี้เกิดจากความร้อนที่มีความรุนแรงมากที่สุด หลายประเทศทั่วโลกจึงให้ความสำคัญ โดยมีรายงานว่าทำให้เกิดการเสียชีวิตได้ถึงร้อยละ 10-50 และผู้รอดชีวิตอาจมีความพิการทางระบบประสาทอย่างถาวรร้อยละ 7-20 โ
ประเภทของโรคลมร้อน
แบ่งเป็น 2 ประเภทคือ
- โรคลมร้อนหรือโรคลมแดดทั่วไป พบในเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ซึ่งอยู่ในสภาพอากาศที่มีความร้อนสูง กลไกการระบายและควบคุมความร้อนทำงานล้มเหลว ทำให้ร่างกายไม่สามารถปรับตัวกับความร้อนจึงมีอุณหภูมิแกนของร่างกายสูงขึ้นเกิน 40 องศาเซลเซียส และในที่สุดเกิดเป็นโรคลมร้อนหรือโรคลมแดด
- โรคลมร้อนจากการออกกำลังกาย พบในคนวัยหนุ่มสาวที่ทำกิจกรรมหรือออกกำลังกายอย่างหนักเป็นระยะเวลานานในกลางแจ้งหรือในสภาพอากาศร้อนจัด มีการเพิ่มการสร้างความร้อนของร่างกายมากกว่าที่ร่างกายจะสามารถระบายความร้อนได้ทัน ทำให้อุณหภูมิแกนของร่างกายสูงขึ้นเกิน 40 องศาเซลเซียส อาจมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย ได้แก่ คลื่นไส้อาเจียน มึนงง กล้ามเนื้อหดเกร็ง หายใจลำบาก เป็นต้น และมักพบว่าเป็นลม หมดสติ ก่อนที่จะเกิดภาวะโรคลมร้อน
4 อาการสำคัญของ โรคลมร้อน
เนื่องจากเป็นโรคที่มีความรุนแรงมาก หากไม่ได้รับการปฐมพยาบาลทันทีอาจเสียชีวิตได้ โดย 4 อาการสำคัญของโรคนี้ ได้แก่
1. เหงื่อไม่ออก
2. สับสน มึนงง
3. ผิวหนังเป็นสีแดง และแห้ง
4. ตัวร้อนจัด
โรคลมร้อนหรือโรคลมแดด ทำให้เกิดความผิดปกติด้านใดบ้าง
- ระบบประสาทส่วนกลาง อุณหภูมิที่สูงขึ้นในร่างกายทำให้เกิดภาวะของสมองบวม สมองขาดเลือด และเมแทบอลิสมผิดปกติ จึงมีผลให้ระบบประสาทส่วนกลางทำงานผิดปกติ ซึ่งมีความรุนแรงแตกต่างกันในแต่ละบุคคล ทำให้มีอาการสับสน กระสับกระส่าย ปวดศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน เดินเซ ชักเกร็งและหมดสติ ที่สำคัญในรายที่รุนแรงหรือไม่ได้รับการรักษาอาจมีความพิการทางระบบประสาทอย่างถาวร
- ระบบหัวใจและหลอดเลือด ผู้ป่วยโรคลมร้อน มีภาวะขาดน้ำ (dehydration) มีปริมาตรของเลือดในร่างกายน้อย (hypovolemia) และมีการคลายตัวของหลอดเลือดส่วนปลาย ทำให้ความดันโลหิตต่ำ อัตราการเต้นของหัวใจเร็วผิดปกติ บางรายพบว่ามีการเต้นไม่เป็นจังหวะร่วมด้วย และอาจพบผลการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจผิดปกติ ซึ่งความผิดปกติของการทำงานของหัวใจ และความดันโลหิตต่ำ ทำให้อันตรายการถึงแก่ชีวิตได้
- ระบบเลือด ผู้ป่วยโรคลมร้อน มีภาวะขาดน้ำ มีปริมาณส่วนน้ำเลือดในร่างกายน้อย ทำให้เลือดข้น ซึ่งจะส่งผลต่อการไหลเวียนเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย พบว่าเมื่ออุณหภูมิกายสูงช่วง 42-44 องศาเซลเซียส มีผลกระทบต่อเมแทบอลิสมของเซลล์และการทำงานของเอนไซม์ ได้แก่ กระตุ้นให้เกร็ดเลือดทำงาน ทำให้เกิดลิ่มเลือดเล็กๆกระจายทั่วไปในหลอด
- ระบบทางเดินหายใจ ผู้ป่วยโรคลมร้อนทั้งสองประเภท มีอัตราการหายใจเร็วผิดปกติ โดยในผู้ป่วยโรคลมร้อนจากการออกกำลังกาย จะเริ่มด้วย respiratory alkalosis ต่อมาเป็นภาวะเลือดเป็นกรด พบกรดแลคติกในเลือดสูง และเนื้อเยื่อถูกทำลายอย่างถาวร แต่ในผู้ป่วยโรคลมร้อนทั่วไปจะเกิด respiratory alkalosis อย่างเดียวเท่านั้น ในรายที่รุนแรงทั้งสองประเภทพบว่ามีปอดบวม เนื้อเยื่อปอดตายจากการขาดเลือดไปเลี้ยง รวมถึงอาจเกิดภาวะกลุ่มอาการหายใจลำบากเฉียบพลัน ซึ่งจำเป็นต้องได้รับยาสงบระงับ และใส่ท่อเข้าหลอดลมร่วมกับการใช้เครื่องช่วยหายใจ
- ระบบทางเดินอาหาร ลำไส้และตับถูกทำลายเนื่องจากความร้อนโดยตรงและจากการมีเลือดไหลเวียนไปเลี้ยงน้อยลง มีการเพิ่มการซึมผ่านของลำไส้เพิ่มขึ้นซึ่งจะทำให้สารพิษผ่านเข้าสู่กระแสเลือดได้ ส่งผลให้เกิดการตอบสนองต่อการอักเสบอย่างรุนแรง ส่วนตับถูกทำลาย พบอาการดีซ่านและเอนไซม์ตับสูงขึ้น อาจเกิดภาวะตับวาย ซึ่งแม้ว่าพบน้อย แต่เป็นภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงอย่างมาก
- ระบบทางเดินปัสสาวะ ผู้ป่วยโรคลมร้อนหรือโรคลมแดด มีภาวะขาดน้ำ มีปริมาตรของเลือดในร่างกายน้อย ทำให้ปัสสาวะน้อย มีการสลายของกล้ามเนื้อลาย และภาวะลิ่มเลือดกระจายทั่วไปในหลอดเลือด ส่งผลให้เกิดภาวะไตวายเฉียบพลัน จึงสามารถตรวจพบระดับครีอะตีนิน ไคเนส สูง ในผู้ป่วยโรคลมร้อนทั้งสองประเภท และพบว่าโอกาสเกิดไตวายเฉียบพลันในผู้ป่วยโรคลมร้อนจากการออกกำลังกายมากกว่าในผู้ป่วยโรคลมร้อนทั่วไป
การป้องกัน
คุณพ่อคุณแม่สามารถปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันตนเองรวมทั้งลูกน้อย ดังนี้
- ดื่มน้ำให้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย ในสภาพอากาศร้อน ควรดื่มน้ำบ่อยๆ โดยไม่รอให้กระหายน้ำ และไม่ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
- สวมใส่เสื้อผ้าสีอ่อน หลวม ๆไม่รัดแน่น ควรเป็นเสื้อผ้าที่ระบายความร้อนได้ดี
- หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ต้องอยู่กลางแดด ไม่ออกกำลังกายในที่มีอากาศร้อนเป็นเวลานาน
- เฝ้าระมัดระวังดูแลเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยเรื้อรัง ให้อยู่ในที่มีอากาศถ่ายเท และปฏิบัติตนเพื่อป้องกันการเกิดโรคลมร้อน
การปฐมพยาบาล
เมื่อพบผู้ป่วยโรคลมร้อนหรือโรคลมแดด ควรช่วยเหลือดังนี้
- เคลื่อนย้ายเข้าในที่ร่ม นอนราบและยกเท้าสูงทั้งสองข้าง
- คลายเสื้อผ้าให้หลวม ไม่รัดแน่น
- รีบช่วยระบายความร้อนออกจากร่างกายผู้ป่วย ด้วยการเช็ดตัวด้วยน้ำเย็น เพื่อลดอุณหภูมิกายโดยเร็ว
- นำส่งโรงพยาบาลอย่างรวดเร็ว สามารถโทร 1669 เพื่อขอความช่วยเหลือ
โรคลมร้อน หรือ ฮีทสโตรกส่งผลร้ายแรงต่อระบบภายในร่างกายเป็นอย่างยิ่ง คุณพ่อคุณแม่ต้องคอยสังเกตอาการลูกน้อยเป็นอย่างดี เพราะหากช่วยลูกน้อยไม่ทันก็ส่งผลถึงชีวิตได้เลยนะคะ
ขอบคุณข้อมูลจาก
ไทยรัฐ, คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่
อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก