ซน ยุกยิกตลอด สมาธิไม่ดี ระวังลูกเป็น โรคซนสมาธิสั้น
คุณพ่อคุณแม่อาจเคยได้ยินคำกล่าวว่า เด็กซนเป็นเด็กฉลาดนะคะ หากว่าซนแต่พอดีก็นับเป็นผลดีกับทุกคน แต่หากลูกของคุณพ่อคุณแม่ ซน อยู่ไม่นิ่งเลย หุนหันพลันแล่น และขาดสมาธิ จนส่งผลต่อการใช้ชีวิต คุณพ่อคุณแม่ต้องระวังว่าลูกอาจมีอาการ โรคซนสมาธิสั้น ก็เป็นได้ โรคนี้มีสัญญาณบ่งบอกอย่างไร สามารถดูแลรักษาได้อย่างไร มาติดตามบทความดี ๆ นี้กันค่ะ
โรคซนสมาธิสั้น
พญ. สุธีรา คุปวานิชพงษ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการและพฤติกรรมในเด็ก โรงพยาบาลสินแพทย์ ได้เขียนบทความให้ความรู้เกี่ยวกับโรคซนสมาธิสั้น ไว้ว่า โรคนี้คือ ภาวะที่เด็กมีปัญหาเรื่องซน อยู่ไม่นิ่ง หุนหันพลันแล่น และขาดสมาธิ จนส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน และประสิทธิภาพในการเรียนรู้ เช่น มีผลเสียต่อการเรียน เกิดปัญหาพฤติกรรม และการอยู่ร่วมกับคนอื่น หากไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาจะส่งผลเสียต่อเด็กอย่างมากทั้งในเรื่องการประสบความสำเร็จในด้านการเรียน การทำงาน และความสัมพันธ์ ในอนาคต
พบโรคนี้ได้มากน้อยแค่ไหน
โรคซนสมาธิสั้นพบได้บ่อยในทุกประเทศทั่วโลก ในประเทศไทยปัจจุบันพบประมาณ 5-8 % ในเด็กวัยเรียน โดยเด็กชายพบมากกว่าเด็กหญิงประมาณ 5 เท่า
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของโรค
เกิดจากปัจจัยร่วมกันระหว่างพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม ทำให้เกิดความบกพร่องในการทำงานของสมองส่วนหน้า ซึ่งมีหน้าที่ในการควบคุมสมาธิ อารมณ์ การยับยั้งชั่งใจ และทักษะการจัดการ โดยพบว่าสมองส่วนหน้ามีการเจริญที่ล่าช้ากว่าเด็กวัยเดียวกัน ร่วมกับพบว่าการสร้างสารเคมีบางชนิดในสมองส่วนนี้มีความไม่สมดุล ยังรวมถึงปัจจัยตอนเกิด เช่น น้ำหนักแรกเกิดน้อย, เกิดก่อนกำหนด รวมทั้งการใช้สื่อ Social Media มากเกินไป ได้แก่ โทรศัพท์มือถือ, แท็บเล็ต, คอมพิวเตอร์
สัญญาณของ โรคซนสมาธิสั้น
อาการของโรคซนสมาธิสั้น แบ่งเป็น 2 ด้านหลัก คือ
- อาการขาดสมาธิ ได้แก่ สมาธิสั้น สมาธิไม่ต่อเนื่อง ทำงาน หรือการบ้านไม่เสร็จ ทำงานไม่รอบคอบ มีความยากลำบากในการทำงานที่ต้องวางแผนทำเป็นลำดับขั้นตอน มีอาการเหม่อ ใจลอย วอกแวกง่าย ขี้ลืมบ่อย ทำของที่สำคัญหายบ่อย
- อาการซนและหุนหันพลันแล่น ได้แก่ วิ่งซน ปีนป่าย เล่นเสียงดัง อยู่นิ่งไม่ได้ มักประสบอุบัติเหตุจากความซน ขาดความระมัดระวัง ลุกออกจากที่นั่ง หรือเดินในห้องเรียนขณะที่ครูสอน ยุกยิก อยู่ไม่สุข พูดมากเกินไป พูดโพล่ง พูดแทรกบทสนทนา วู่วามใจร้อน ไม่สามารถรอคอยคิวได้
โดยโรคสมาธิสั้นจะต้องมีอาการด้านใดด้านหนึ่งหรือทั้งสองด้านนี้ ต่อเนื่องอย่างน้อย 6 เดือน
การวินิจฉัยโรค
วินิจฉัยโดยกุมารแพทย์พัฒนาการเด็ก หรือจิตแพทย์เด็ก ด้วยวิธีตรวจประเมินเด็กในห้องตรวจอย่างละเอียด ร่วมกับข้อมูลที่ได้จากคุณพ่อคุณแม่และคุณครู ดังนั้นหากสงสัยว่าลูกมีปัญหาซนสมาธิสั้น คุณพ่อคุณแม่ควรพามาตรวจกับผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้ได้รับแนวทางการดูแลตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบเมื่อเติบโตขึ้น
การรักษา
การรักษาโรคซนสมาธิสั้นที่มีประสิทธิภาพในปัจจุบัน พญ. สุธีรา ได้แนะนำวิธีรักษาให้อย่างละเอียด ดังนี้ค่ะ
- การรักษาด้วยยา ยาที่ใช้รักษาโรคซนสมาธิสั้นที่ได้ผลดีที่สุดที่มีในประเทศไทย คือ กลุ่ม Methylphenidate ซึ่งมีทั้งแบบที่ออกฤทธิ์สั้น ที่ต้องกินวันละ 2-3 ครั้ง และแบบที่ออกฤทธิ์ยาวที่กินวันละ 1 ครั้งได้ โดยยาจะออกฤทธิ์ไปยับยั้งการทำลายสารเคมีในสมอง (ที่เด็กมีน้อยกว่าปกติ) ช่วยให้เด็กจดจ่อในการทำงานมากขึ้น คงสมาธิได้ยาวขึ้น เรียนหนังสือได้ดีขึ้น ซนน้อยลง ควบคุมตัวเองและควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้น
-
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและให้การช่วยเหลือที่บ้าน
- ปรับทัศนคติของคุณพ่อคุณแม่ให้เป็นบวก ให้กำลังใจลูกในการพัฒนาตัวเอง
- ใช้เทคนิคการปรับพฤติกรรมเชิงบวก ได้แก่ เข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของลูก ชมเชย ให้รางวัล โดยให้ทันทีที่ทำพฤติกรรมดี จะช่วยให้ลูกมองเห็นข้อดีของตัวเอง และมีกำลังใจที่จะประพฤติตัวดีขึ้น
- มีเวลาคุณภาพใช้เวลาทำกิจกรรมที่สนุกสนานร่วมกันในครอบครัว เพื่อจะได้สังเกตข้อดีของลูก ชื่นชมสิ่งที่ดี ๆในตัวลูก นำไปสู่ความรู้สึกมีคุณค่า ความภูมิใจในตัวเองของลูก
- จัดกฎระเบียบในบ้าน เช่น ห้ามดูทีวีขณะทำการบ้าน ห้ามขว้างปาของ เล่นของเล่นเสร็จแล้วต้องเก็บเข้าที่ คุณพ่อคุณแม่ทำเป็นแบบอย่าง และควบคุมกฎให้ชัดเจนและสม่ำเสมอ
- ทำข้อตกลงให้เด็กรู้ล่วงหน้าว่าถ้าทำผิดจะมีโทษอย่างไร ควรเลี่ยงวิธีทำโทษโดยการตี ดุด่า หรือใช้ความรุนแรง เพราะจะทำให้เด็กเติบโตมาเป็นเด็กที่ก้าวร้าวและใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา ควรใช้การลงโทษโดยวิธีการจำกัดสิทธิ เช่น งดดูการ์ตูน งดเที่ยวนอกบ้าน หักค่าขนม ริบโทรศัพท์ เป็นต้น
- ปรับสิ่งแวดล้อมให้เหมาะกับเด็ก เช่น มีที่ให้เด็กทำการบ้านและอ่านหนังสืออย่างสงบ ในช่วงแรกคุณพ่อคุณแม่อาจจะต้องอยู่ช่วยควบคุมให้ทำงานเสร็จ มีตารางเวลากิจวัตรประจำวันที่แน่นอน ฝึกให้เด็กทำกิจกรรมทีละอย่าง ให้เด็กหยุดพักช่วงสั้นๆได้เมื่อเห็นว่าเด็กหมดสมาธิแล้ว
- ฝึกทักษะการบริหารจัดการโดยคุณพ่อคุณแม่ช่วยกำกับ เช่น จัดกระเป๋านักเรียน เตรียมอุปกรณ์ วางแผนทำและส่งงานให้ทันตามกำหนด ฝึกใช้ข้อความเตือนความจำ
- ฝึกเทคนิคให้เด็กคิดก่อนทำ เช่น ให้เด็กนับ 1-2-3 ก่อนลงมือทำ ฝึกให้เด็กรู้จักคิดถึงผลที่จะตามมาจากการกระทำ และฝึกทักษะการแก้ปัญหา
- ส่งเสริมให้ออกกำลังกายสม่ำเสมอ กีฬาบางชนิดที่มีลำดับขั้นตอน มีกติกา เช่น เทควันโด ฟุตบอล โยคะ พบว่าช่วยฝึกสมาธิ และสอนให้เด็กรู้จักแพ้-ชนะ รอคอยคิว ทำตามกติกาได้
- ลดเวลาของเด็กในการเล่นเกมคอมพิวเตอร์ ดูสื่อ ดูทีวี ให้เหลือน้อยที่สุด ให้จำกัดเวลาเล่น โดยต้องทำงานหรือการบ้านให้เสร็จก่อน การใช้สื่อเหล่านี้มากเกินไปจะยิ่งทำให้สมาธิและการควบคุมตัวเองแย่ลง
-
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและให้การช่วยเหลือที่โรงเรียน
- เข้าใจในตัวเด็ก มองหาข้อดีของเด็ก สนับสนุนให้เด็กแสดงออกถึงจุดเด่นหรือข้อดีของตนเอง ช่วยให้เด็กมั่นใจในตัวเองและมีกำลังใจในการพัฒนาตัวเอง
- จัดที่นั่งหน้าชั้นหรือใกล้คุณครูมากที่สุด ให้ไกลจากประตูหน้าต่าง
- สั่งงานเป็นขั้นตอนสั้นๆ ให้เด็กทบทวนคำสั่งหรือให้ซักถามเพื่อตรวจสอบความเข้าใจ
- ให้เด็กจดงานลงสมุดการบ้าน ช่วยตรวจสมุดงานอย่างสม่ำเสมอ
- ใช้วิธีเตือนไม่ให้เด็กเสียหน้า ไม่ดุว่าหรือลงโทษรุนแรง ควรใช้วิธีการตัดคะแนน งดเวลาพัก หรือทำเวรแทน
- ชมเชยหรือให้รางวัลเมื่อทำพฤติกรรมที่ดี
- ในเด็กที่จำเป็นต้องกินยาที่โรงเรียน คุณครูช่วยดูแลหรือเตือนให้เด็กกินยาอย่างสม่ำเสมอ
- การช่วยเหลือด้านการเรียนเป็นพิเศษ เช่น สอนเพิ่มตัวต่อตัวหากมีความบกพร่องทางการเรียนรู้ร่วมด้วย หรืออาจพิจารณาให้เวลาสอบนานกว่าเพื่อน หรือคุณครูช่วยเตือนเมื่อวอกแวก
- การวินิจฉัยปัญหาอื่นๆที่พบร่วมกัน และให้การช่วยเหลือ เช่น ภาวะบกพร่องด้านการเรียนรู้ ปัญหาการทำงานประสานกันของกล้ามเนื้อมือ ปัญหาพฤติกรรม เป็นต้น
ลูกมีโอกาสหายหรือไม่
เมื่อผ่านวัยรุ่นประมาณ 30-50% ของเด็กสมาธิสั้นมีโอกาสหายจากโรคนี้ได้ หากได้รับการดูแลรักษาที่เหมาะสม
ขอบคุณข้อมูลจาก
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่
อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก
ลูกสมาธิสั้น หงุดหงิดง่าย เริ่มเป็นเด็กก้าวร้าว เพราะติดไอแพด