วันรุ่งขึ้นพาไปหาหมอหูคอจมูกแทนหมอเด็กที่ดูแลประจำ หมอบอกว่าแก้วหูทั้งสองข้างมีน้ำมูกมาเกาะอยู่ทำให้การได้ยินลดลง โพรงจมูกบวมมาก แก้วหูแดงทั้งสองข้าง ให้น้องกินยาปฏิชีวนะอีกครั้ง เราไปหาสองโรงพยาบาลเลยเพื่อความแน่ใจ เพราะครั้งแรกเราแปลกใจที่หมอเฉพาะทางหูคอจมูก พูดไม่เหมือนกับหมอเด็ก หมอเด็กบอกว่าหูปกติแล้ว ไม่มีการติดเชื้อจึงไม่ได้ให้ยาปฏิชีวนะต่อ เพราะคิดว่าจะทานมากไปโดยไม่จำเป็น
หมอหูคอจมูกคนที่สองยืนยันว่า น้องต้องทานยาปฏิชีวนะอีกครั้ง พร้อมยาแก้แพ้ และยาพ่นจมูกด้วยเพราะหูยังมีการติดเชื้ออยู่มาก เราเลยถามว่าน้องไม่เคยแพ้อากาศมาก่อน เป็นไปได้มั้ยว่าน้องจะแพ้นมวัว คุณหมอบอกว่าเป็นไปได้สูง จึงให้หยุดทานผลิตภัณฑ์นมวัวทุกประเภท
หยุดว่ายน้ำ ทานยาต่อเนื่อง และล้างจมูกด้วย
พอได้ทานยาและพ่นยาครั้งนี้ คืนเดียวอาการนอนกรน ลมหายใจมีกลิ่นหรือแม้กระทั่งน้ำมูกตอนเช้าหายไปหมดเลย การได้ยินของน้องก็ค่อย ๆ ดีขึ้น ตอนนี้ทานมาสี่วันหูน้องได้ยินเหมือนเดิมแล้ว ดีใจมาก ๆ คุณหมอบอกว่าอาการเรื่องหูเป็นเรื่องเฉพาะทาง บางครั้งหมอเด็กอาจจะวินิจฉัยพลาดเพราะไมไ่ด้ ฝึกมาทางด้านนี้ ให้เราหาหมอเด็กกับหูคอจมูกควบคู่กันไป
คุณหมอเสริมว่า ผู้ปกครองส่วนใหญ่มักคิดว่าอาการภูมิแพ้หายไป เมื่อลูกไม่แสดงอาการอะไรหนักหนาสาหัส มีน้ำมูกบ้างก็น่ิงนอนใจ จริง ๆ แล้วการที่มีน้ำมูก แสดงว่าร่างกายอ่อนแอ รับเชื้อโรคได้ง่าย เมื่อเป็นเรื้อรังโอกาสที่ทำให้เกิดไซนัสหรือหูอักเสบก็สูง ทางที่ดีที่สุดคือคอยสังเกตลูก ๆ ว่ามีอาการหรือไม่ แม้จะน้อยนิด ก็ควรทานยาแก้แพ้ป้องกันดีกว่ารอให้เป็นหนัก ๆแล้วค่อยมาหาหมอ ตอนนั้นก็ต้องทานยามาก ๆ โดยไม่จำเป็น
การเรียนว่ายน้ำเช่นกัน ผู้ปกครองบางคนคิดว่าลูกป่วยต้องออกกำลังกายแต่จริง ๆ แล้วในโพรงจมูกลูกมันต่อไปถึงหูถึงโพรงไซนัส การที่มีน้ำมูกไม่ควรอย่างยิ่งที่จะให้ลูกไปว่ายน้ำ เพราะโอกาสที่น้ำมูกจะถูกดันไปข้างในสูงมาก เมื่อเข้าไปแล้วก็รักษายากกว่า ทางที่ดีให้ลูกไปออกกำลังกายอย่างอื่นดีกว่า และสุดท้ายอาการภูมิแพ้ต่าง ๆ ของเด็กจะมีแนวโน้มดีขึ้นเมื่อายุ 7-8 ขวบ ดังนั้น เราควรดูแลเอาใจใส่ลูกช่วงก่อนหน้านี้ให้มากๆ ค่ะ
ป.ล. ยาวหน่อยนะคะ แต่คิดว่ามีผู้ปกครองหลายคนมีปัญหานี้เหมือนกัน เลยอยากแชร์ประสบการณ์ค่ะ
แพ้นมวัวคืออะไร อาการเป็นแบบไหน คลิก!
เครดิต:Pantip