โอมิครอน BA.4 BA.5 ติดง่ายกว่าเดิม อันตรายแค่ไหน -Amarin Baby & Kids
โอมิครอน BA.4 BA.5

โอมิครอน BA.4 BA.5 ติดง่ายกว่าเดิม อันตรายแค่ไหน

Alternative Textaccount_circle
event
โอมิครอน BA.4 BA.5
โอมิครอน BA.4 BA.5

โอมิครอน BA.4 BA.5 ติดง่ายกว่าเดิม อันตรายแค่ไหน

โอมิครอน BA.4 BA.5 เป็นโควิดเชื้อสายพันธุ์ย่อยชนิดใหม่ ของเชื้อกลายพันธุ์โอมิครอนที่แพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ยอดผู้ติดเชื้อโรคโควิดพุ่งสูงขึ้นทั่วโลก รวมทั้งในไทยด้วย องค์กรอนามัยโลก (WHO) ได้ประกาศให้สายพันธุ์ BA.4 BA.5 เป็นสายพันธุ์ย่อยที่ต้องเฝ้าระวัง และคาดว่าจะกลายเป็นสายพันธุ์หลักของการแพร่ระบาดทั่วโลก สายพันธุ์นี้คิดง่าย ติดไว กว่าเดิม อันตรายแค่ไหน มาดูกันค่ะ

สถานการณ์การแพร่ระบาดของ โอมิครอน BA.4 BA.5 ในไทย

ท่ามกลางมาตรการผ่อนคลายต่าง ๆ และการเปิดประเทศ กระทรวงสาธารณสุขออกมายอมรับว่า มีแนวโน้มผู้ติดเชื้อ ผู้ป่วยกำลังรักษา ผู้ป่วยอาการหนัก และผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากการแพร่ระบาดของสายพันธุ์ย่อยของโอมิครอน BA.4/BA.5 ซึ่งพบมากจากผู้เดินทางจากต่างประเทศเข้าไทย

ทำไมถึงต้องเฝ้าระวัง

สาเหตุที่ต้องเฝ้าระวังโอมิครอน สายพันธุ์ BA.4 และ BA.5 คือ

  • สายพันธุ์นี้มีการกลายพันธุ์ในตำแหน่ง L452R ซึ่งเป็นตำแหน่งเดียวกันกับสายพันธุ์เดลตา (Delta) เชื้อไวรัสมีความสามารถในการแบ่งตัว เพิ่มจำนวนในเซลล์ปอดได้ดี ซึ่งอาจก่อให้เกิดอาการปอดอักเสบในผู้ติดเชื้อ แตกต่างจากสายพันธุ์ BA.1 และ BA.2 ที่เชื้อมีความสามารถในการแบ่งตัวได้ดีในเซลล์ของเยื่อบุระบบทางเดินหายใจส่วนบน
  • สายพันธุ์ย่อย BA.4/BA.5 ยังมีความสามารถในการหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกัน ดื้อต่อแอนติบอดี้ของมนุษย์ นั่นจึงเป็นสาเหตุให้เกิดการติดเชื้อซ้ำ (Re-infection) แม้ว่าจะเคยติดเชื้อหรือฉีดวัคซีนมาแล้วก็ตาม
  • แพร่ระบาดได้ง่าย และรวดเร็วยิ่งขึ้นกว่าเดิม

จุดเด่นของโควิดสายพันธุ์โอมิครอน คือ การแพร่เชื้อได้เร็ว (High transmissibility) กว่าสายพันธุ์อื่น 5 เท่า

โอมิครอน BA.4 BA.5
โอมิครอน BA.4 BA.5 ติดง่ายกว่าเดิม

ขอบคุณภาพจากโรงพยาบาลศิครินทร์

อาการที่เด่นชัด

โดยอาการของโควิดสายพันธุ์ BA.4 และ BA.5 ไม่แตกต่างอย่างชัดเจนจากสายพันธุ์โอมิครอน อาการที่เด่นชัดของสายพันธุ์นี้ได้แก่ “อ่อนเพลีย เหนื่อย, ไอแห้ง, เจ็บคอ, ไข้, มีน้ำมูก, ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ คลื่นไส้ ปวดเมื่อยตามร่างกาย และถ่ายเหลว”

นอกจากนี้ยังพบอาการ สูญเสียการได้กลิ่น และการรับรส อาการผิดปกติเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร กลุ่มอาการของระบบทางเดินหายใจ หายใจถี่ หายใจลำบาก และกลุ่มอาการนอกระบบที่ไปคล้ายกันกับสายพันธุ์เดลตาได้เช่นกัน

โอมิครอน BA.4 BA.5
อาการโอมิครอน BA.4 BA.5

ขอบคุณภาพจากโรงพยาบาลศิครินทร์

กลุ่มเสี่ยงคือ ผู้สูงอายุ เด็ก และผู้มีโรคประจำตัวร้ายแรง

BA.4 และ BA.5 จะสามารถแพร่ระบาดได้ง่ายขึ้น อาจเป็นเพราะภูมิคุ้มกันที่ผู้คนมีในร่างกายเริ่มลดลง หรืออาจเป็นเพราะเชื้อไวรัสเกิดการกลายพันธุ์ ขณะเดียวกัน การที่ประเทศต่าง ๆ เริ่มยกเลิกมาตรการควบคุมโรคโควิด แล้ว ก็ทำให้เชื้อไวรัสชนิดนี้มีโอกาสที่จะแพร่ระบาดได้มากขึ้น

BA.4 และ BA.5 ยังทำให้คนที่เพิ่งติดเชื้อโอมิครอนชนิดอื่นติดเชื้อซ้ำได้อีก และการระบาดระลอกใหม่อาจทำให้มีผู้ป่วยเข้ารักษาที่โรงพยาบาล หรือมีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นอีก

เช่นเดียวกับโควิดสายพันธุ์อื่น ๆ ผู้สูงอายุ และผู้มีโรคประจำตัวร้ายแรง คือกลุ่มเสี่ยงที่สุดที่จะล้มป่วยหนักจากการติดเชื้อ BA.4 และ BA.5

นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) กล่าวว่า สัดส่วนการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นในกลุ่มผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป และผู้ที่มีอายุระหว่าง 12-17 ปี น่ากังวล โดยตัวเลขผู้สูงอายุที่ได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้น หรือเข็มที่สาม มีเพียง 47.1% ของตัวเลขผู้สูงอายุทั้งหมด ขณะที่ฝั่งนักเรียนซึ่งได้รับเข็มกระตุ้นมีเพียงแค่ 20.5% เท่านั้น

ป้องกันอย่างไร

การป้องกันตนเอง ก็ยังช่วยป้องกันความเสี่ยงจากการติดเชื้อได้ โดยควรสวมหน้ากากอนามัย เมื่อต้องเดินทางไปในสถานที่แออัด หรือสถานที่อับอากาศ หมั่นล้างมือบ่อย ๆ หลังสัมผัสสิ่งของ หรือจุดสัมผัสสาธารณะ

สำหรับผู้ที่สัมผัสเสี่ยงสูง หรือมีอาการเสี่ยงติดเชื้อ แนะนำให้ตรวจ ATK ด้วยตนเอง โดยควรเลือก ATK ที่ได้รับมาตรฐาน และมีค่าความไว (Sensitivity) และค่าความจำเพาะ (Specificity) ไม่ต่ำกว่า 90%

แม้วัคซีนต้านโควิดที่มีอยู่ในปัจจุบันจะไม่ใช่สูตรที่พัฒนาขึ้นเพื่อต่อต้าน BA.4 และ BA.5 โดยเฉพาะ แต่ก็ยังเป็นเครื่องมือดีที่สุดในการต่อสู้กับเชื้อทั้งสองชนิด เพราะฉะนั้นจึงควรฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น

ทำไมต้องฉีดเข็มกระตุ้น

สถิติจากกระทรวงสาธารณสุขไทยที่ศึกษาข้อมูลจากประชากร 5 แสนราย พบว่า ประสิทธิภาพของการฉีดวัคซีน 2 เข็ม นับว่าป้องกันการติดชื้อ “น้อยมาก” และป้องกันการป่วยหนักจนต้องใส่ท่อช่วยหายใจและเสียชีวิตได้ราว 75%

ขณะที่การฉีดวัคซีน 3 เข็ม ช่วยป้องกันการติดเชื้อได้ราว 15% แต่สามารถป้องกันการป่วยหนักจนต้องใส่ท่อช่วยหายใจหรือเสียชีวิตได้ถึง 93%

นอกจากนี้ สถิติของผู้ฉีดวัคซีน 4 เข็ม ชี้ว่า สามารถลดการติดเชื้อได้ถึง 76% และลดการป่วยหนักจนต้องใส่ท่อช่วยหายใจและเสียชีวิตได้ถึง 96%

ข้อมูลปัจจุบันยังไม่พบผู้เสียชีวิตในกลุ่มที่ฉีดวัคซีน 4 เข็ม

ขอบคุณข้อมูลจาก

โรงพยาบาลศิครินทร์, BBC NEWS ไทย

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

เปลี่ยนแม่เป็นหมอ เปลี่ยนพ่อเป็นพยาบาล รับมือ โอมิครอนในเด็ก

CDC ชี้ ไฟเซอร์เด็ก ลดเสี่ยงโอมิครอน พร้อมจุดฉีดล่าสุด!

เช็กเลย! อาการ โอมิครอน ไข้หวัดใหญ่ ไข้เลือดออก ต่างกันอย่างไร

เรื่องที่คนอ่านมากสุด

keyboard_arrow_up