คุณเชื่อไหมคะว่า ตลอดระยะทางที่ทั้งฉันและสามีกลับบ้านนั้น ฉันเอาแต่ร้องไห้ ส่วนสามีก็เอาแต่เงียบ เขาไม่พูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว … จนฉันถามกับเขาตรง ๆ ว่า “ฉันถามจริง ๆ เถอะ คุณเคยแอบไปมีอะไรกับใครที่ไหนหรือเปล่า ทำไมฉันถึงติดโรคนี้มาจากคุณได้”
สามีของฉันจอดรถทันที เขาเอาแต่ร้องไห้ ร้องเหมือนเด็ก ๆ … นั่นคือครั้งแรกที่ฉันเห็นเขาเป็นแบบนั้น เขาสารภาพกับฉันว่า วันที่เขาขอฉันไปเลี้ยงรับรองแขกนั้น เขาพาแขกไปที่สถานบันเทิงแห่งหนึ่ง แขกให้เขาขึ้นไปใช้บริการนั้นด้วย เขาไม่คิดว่า การไปใช้บริการครั้งเดียวในวันนั้น จะส่งผลให้เขาติดโรคที่ว่านี้!
“คุณรู้มาก่อนหรือเปล่า? ว่าคุณเป็น” ฉันถาม
“ผมเพิ่งไปตรวจมาสัปดาห์ก่อน หมอบอกว่าผมเป็นโรคนี้” สามีฉันตอบ
เหมือนมีคนเอาไม้หน้าสามตีมาที่ศีรษะของฉัน ๆ พูดอะไรไม่ออก … ตอนนั้นฉันอยากจะตบตีเขา อยากจะดุด่าว่าเขา แต่ฉันก็ไม่ได้ทำ เพราะมันจุกจริง ๆ ค่ะ ฉันไม่พูดกับเขาเลยหลังจากนั้นมา นึกในใจว่าสงสารลูกชายคนโตเหมือนกัน และฉันก็ไม่ต้องการให้เขาต้องมาติดเชื้อโรคบ้า ๆ นี้ด้วย เลยให้คุณตาคุณยายมารับไปอยู่ด้วยสักระยะหนึ่ง
ฉันเข้ารับการรักษากับคุณหมออย่างต่อเนื่อง … แต่ก็ไม่วาย เมื่อผลสุดท้าย ลูกของฉันก็ไม่สามารถทนเชื้อโรคที่ว่านี้ได้ และจากไปในที่สุด … ใช่ค่ะ “ฉันแท้งลูก” หากเป็นคุณแม่ท่านอื่น ๆ อาจจะร้องไห้เสียใจ แต่เชื่อไหมคะว่า ฉันเลยจุดนั้นมาแล้ว ฉันไม่รู้ว่าจะไปเอาน้ำตาจากที่ไหนมาร้อง เพราะฉันร้องไห้มามากเหลือเกิน ฉันเสียใจที่ฉันทะนงตนคิดว่าเขาจะไม่ออกนอกลู่นอกทาง … ฉันเชื่อว่าตอนนี้ เขาก็คงเสียใจมากไม่แพ้กัน แต่ถ้าจะให้ฉันต้องไปคุยกับเขาตอนนี้ ฉันรู้สึกจริง ๆ ค่ะว่าฉันยังไม่พร้อม และสภาพจิตใจของฉันก็ยังไม่แกร่งพอที่จะไปทำเช่นนั้นได้ แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ฉันตัดสินใจเล่าเรื่องนี้เพราะ ฉันไม่ต้องการให้ผู้หญิงอย่างเรา ใช้ชีวิตอย่างประมาท และคอยสังเกตตัวของเราเองให้ดีว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณแม่ที่กำลังตั้งท้องทุกคน เพราะหากคุณเจ็บป่วยอะไรแม้แต่เพียงนิดเดียว นั่นอาจจะหมายถึงชีวิตและลมหายใจของลูกในท้องก็เป็นได้