โรคซิฟิลิส คืออะไร?
โรคซิฟิลิส เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ เป็นโรคร้ายแรงที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ที่ชื่อว่า Treponema Pallidum ความน่ากลัวของโรคซิฟิลิสนี้คือ ผู้ที่เป็นโรคซิฟิลิสนี้จะไม่มีอาการแสดงออก เป็นโรคเรื้อรัง ถ้าพบเชื้อแล้วรักษาจนหาย โรคซิฟิลิสนี้ก็สามารถกลับมาเป็นได้อีกค่ะ
ซึ่งการติดต่อของโรคนั้น สามารถติดต่อกันได้ดังต่อไปนี้
- โรคซิฟิลิส สามารถติดต่อทางเพศสัมพันธ์โดยผ่านทางเยื่อบุช่องคลอด ท่อปัสสาวะ
- โรคซิฟิลิส สามารถติดต่อผ่านการสัมผัสแผลที่มีเชื้อ ทางปากแผล โดยผ่านทางผิวหนัง เยื่อบุตา ปาก
- เชื้อซิฟิลิส ถ้าติดเชื้อซิฟิลิสในลักษณะนี้จะเรียกว่า ติดเชื้อซิฟิลิสแต่กำเนิด (Congenital Syphilis) อาการจะออกประมาณ 3-8 สัปดาห์ไปแล้ว ลักษณะของอาการจะไม่ค่อยแสดงออกมาก จะมีตุ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น จะมีอาการออกมากตอนโต หรือเด็กบางคนออกมาก็พิการแต่กำเนิดเลยค่ะ
อาการของ โรคซิฟิลิส แบ่งออกเป็น 3 ระยะ
ระยะที่หนึ่ง:หลังจากได้รับเชื้อไปแล้ว ประมาณ 10-19 วัน จะเกิดตุ่มแดงแตกออกเป็นแผลที่อวัยวะเพศ ริมฝีปาก ลิ้น ต่อมทอนซิล หัวนม ตรงบริเวณที่เชื้อเข้า แผลที่เห็นจะเป็นอยู่ 1-5 สัปดาห์ และจะหายไปเอง ถึงแม้จะรักษาหายแล้วแต่ก็ยังมีเชื้ออยู่ในสายเลือด
ระยะที่สอง: จะพบเมื่อได้รับเชื้อซิฟิลิสระยะที่ 1 ไปแล้ว 3- 6 สัปดาห์ เชื้อดังกล่าวจะเข้าไปอยู่ตามต่อมน้ำเหลืองทั่วร่างกายมีอาการปวดตามข้อเนื่องจากข้ออักเสบ อาการสำคัญที่เห็นชัด ๆ คือ ผมร่วง มีผื่นขึ้นตามตัว ฝ่ามือ ฝ่าเท้า ผื่นจะมีลักษณะออกสีน้ำตาลแดง หรือที่เรียกว่า “ระยะออกดอก” ในระยะนี้ ถ้าทำการตรวจเลือดจะพบผลเลือดเป็นบวก ผื่นและอาการต่าง ๆ จะหายได้เองแม้ไม่ได้รักษา โดยเชื้อจะไปหลบซ่อนตามอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย และจะไม่แสดงอาการเป็นปี ๆ (อาจเป็น 5 ปี 10 ปี) แล้วก็เข้าสู่ระยะที่ 3
ระยะที่สาม: หรือที่เราเรียกกันว่า ระยะทำลายเป็นระยะสุดท้ายของโรค เกิดจากการที่ผู้ป่วยไม่ได้เข้ารับการรักษาที่ถูกต้อง เช่น ซื้อยากินเอง ส่งผลให้เข้าสู่ระยะร้ายแรงของโรค ผู้ป่วยจะเข้าสู่ระยะที่ 3 ประมาณ 3-10 ปีหลังจากได้รับเชื้อซิฟิลิสระยะที่ 1 โดยผู้ป่วยระยะที่ 3 นี้อาจส่งผลทำให้ตาบอด หูหนวก สติปัญญาเสื่อม ใบหน้าผิดรูป เชื้อซิฟิลิสอาจเข้าสู่สมองทำให้เสียสติได้ บางรายเชื้อเข้าสู่ไขสันหลังทำให้เป็นอัมพาต ถ้าเชื้อไปสู่หัวใจ ก็ทำให้หัวใจมีความผิดปกติ ลิ้นหัวใจรั่ว หลอดเลือดแดงใหญ่ที่ออกจากหัวใจมีลักษณะโป่งพอง เสี่ยงต่อภาวะหัวใจวายได้
การรักษาโรคนี้ สำหรับผู้ที่เป็นระยะเริ่มต้นสามารถกินยาปฏิชีวนะสำหรับฆ่าเชื้อนี้ก็จะหายขาดเป็นปกติได้ ใช้เวลากินยาแล้วแต่ร่ายกายของผู้ป่วยแต่ละคน อาจใช้เวลาประมาณ 1-3 สัปดาห์ และหากผู้ป่วยเป็นสามีภรรยากันก็ควรรักษาไปพร้อมกันเลยค่ะ การรักษาโรคนี้อาจหายได้ แต่อย่างไรแล้วควรจะทำการตรวจเรื่อย ๆ ทุก 3 เดือนจนกว่าจะครบ 3 ปี เพราะบางทีอาจจะมีเชื้อบางตัวแอบแฝงอยู่ ในขณะที่เป็นโรคนี้อยู่ผู้ป่วยต้องปฏิบัติตัวตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด และควรงดการมีเพศสัมพันธ์ก่อนเพื่อป้องการเชื้อโรคไปติดผู้อื่นได้ค่ะ
สำหรับการป้องกันนั้น สามารถทำได้ด้วยการสวมถุงยางอนามัยทุกครั้งขณะมีเพศสัมพันธ์ และไม่ควรเปลี่ยนคู่นอนบ่อยจนเกินไปนั่นเองค่ะ “ใจเขาใจเรานะคะ ไม่อยากให้คนที่เรารักต้องติดโรคร้าย อย่าลืมคิดให้ดีก่อนตัดสินใจทำอะไรลงไปกันนะคะ”
ขอบคุณเรื่องราวจากคุณแม่ทางบ้าน และหมอชาวบ้าน
อ่านต่อเรื่องอื่นที่น่าสนใจ:
- ป้อนอาหาร ด้วยการเคี้ยวให้ มีสิทธิ์ติดโรคเอดส์!!
- พ่อแม่ระวัง! โรคจูบ โรคติดต่อที่พบได้ในเด็กวัย 2 ปีขึ้นไป
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่