เช็คอาการด้วยตัวเอง ก่อนพบแพทย์
คราวนี้มาดูอาการที่จะสังเกตได้ด้วยตนเอง และอาการที่บ่งบอกว่าควรจะพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยอย่างละเอียดได้แล้วค่ะ
อาการเบื้องต้นของเยื่อบุโพรงมดลูกอักเสบ จะมีไข้สูง 38-39 องศาเซลเซียส หลังจากติดเชื้อแบคทีเรียมาแล้ว 3-4 วัน ร่างกายจะอ่อนเพลีย ปวดศีรษะ ปวดท้องน้อย เจ็บช่องคลอดหรือท้องน้อยเวลามีเพศสัมพันธ์ ตกขาวมีสีและกลิ่นผิดปกติคล้ายหนอง หากไม่ได้รับการรักษาหรือปล่อยไว้นาน อาจเกิดอาการแทรกซ้อนต่าง ๆ ซึ่งเป็นผลข้างเคียงจากภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกอักเสบนั่นเอง
เยื่อบุโพรงมดลูกอักเสบปล่อยไว้อาจถึงตาย
เมื่อรู้ตัวว่าเป็นเยื่อบุโพรงมดลูกอักเสบ ควรรีบรักษาให้หายอย่างรวดเร็ว ไม่ละเลยปล่อยทิ้งไว้จนเกิดอาการแทรกซ้อน เพราะเชื้อโรคจะกระจายไปในท่อนำไข่จนอักเสบ และลุกลามไปติดเชื้ออวัยวะภายในอุ้งเชิงกรานทั้งหมด โดยอาการนี้จะรุนแรงมากขึ้นถึงขนาดติดเชื้อในกระแสเลือด ช็อก และเสียชีวิตได้ ส่วนอาการแทรกซ้อนอื่น ๆ ที่อาจส่งผลในระยะยาว ได้แก่ การเกิดพังผืดในมดลูกทำให้ประจำเดือนมาน้อยหรือไม่มา ภาวะมีบุตรยาก และการเกิดพังผืดในอุ้งเชิงกรานทำให้มีโอกาสท้องนอกมดลูก
เมื่อสงสัยให้พบแพทย์แต่เนิ่น ๆ
หากสงสัยว่าเริ่มมีอาการของเยื่อบุโพรงมดลูกอักเสบ ควรไปพบแพทย์โดยเร็ว แพทย์จะทำการซักประวัติ ตรวจร่างกาย ตรวจภายใน และนำตกขาวไปวินิจฉัยเพื่อความชัดเจน หากพบว่าเป็นยังไม่หนักมาก ไม่มีไข้ และไม่มีภาวะแทรกซ้อนใด ๆ แพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะมาทาน 7-14 วัน เพื่อคุมเชื้อไม่ให้ลุกลาม ถ้ามีอาการปวดร่วมด้วย ก็สามารถทานยาแก้ปวดได้ทันที แต่หากในช่วงเวลา 5-7 วันอาการยังไม่ดีขึ้น ให้กลับมาพบแพทย์อีกครั้ง เพื่อวินิจฉัยเพิ่มหรือเปลี่ยนวิธีการรักษา โดยผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงมาก มีไข้สูง หนาวสั่น พบฝีหนองในรังไข่ หรือรับประทานยาปฏิชีวนะแล้วไม่ดีขึ้น แพทย์จะให้เข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาล และเปลี่ยนเป็นการฉีดยาปฏิชีวนะ พร้อมให้ยาลดปวดควบคู่กันไป เมื่ออาการดีขึ้น จึงกลับไปใช้ยาชนิดรับประทานตามเดิม จนกว่าจะหายขาด
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่