จะรู้ได้อย่างไรว่าลูกเป็นโรคฮีโมฟีเลีย? ควรพาลูกไปพบแพทย์เมื่อใด?
โรคฮีโมฟีเลียนี้ พบได้บ่อยในผู้ชาย ดังนั้น หากลูกชายมีอาการเลือดออกง่าย หยุดยาก เช่น ฉีดวัคซีนแล้วเลือดยังคงซึมตรงรอยฉีดอยู่นาน และมีร่องรอยเลือดออกเป็นบริเวณกว้างกว่าปกติตรงกล้ามเนื้อที่ฉีด หรือเมื่อกระแทกเพียงเล็กน้อยแต่มีรอยช้ำเป็นสีม่วงจากเลือดออกกว้างกว่าที่จะอธิบายได้จากความรุนแรงของการกระแทก หรือเด็กมีรอยฟกช้ำหรือข้อบวมโดยไม่ทราบสาเหตุ และหากมีประวัติญาติผู้ชายทางฝ่ายมารดาเป็นโรคเลือดออกง่าย หยุดยาก ควรสงสัยว่าลูกมีความผิดปกติในเรื่องของโรคเลือด และอาจเป็นโรคฮีโมฟีเลียได้ ซึ่งจำเป็นต้องรีบพาลูกไปพบแพทย์ได้เลยไม่ต้องรอจนเลือดออกแล้วหยุดเองไม่ได้ ทั้งนี้เป็นแพทย์ทั่วไปได้
แพทย์จะซักประวัติอาการของเด็ก และประวัติครอบครัวโดยละเอียด ตรวจร่างกาย และเจาะเลือดตรวจ ซึ่งแพทย์ทั่วไปจะวินิจฉัยโรคได้ และสามารถส่งต่อผู้ป่วยให้ผู้เชี่ยวชาญดูแลรักษาต่อได้อย่างเหมาะสมค่ะ
โรคนี้รักษาได้หรือไม่?
คำตอบคือ ไม่ได้ค่ะ แต่ก็สามารถรักษาอาการที่เกิดขึ้นในกรณีเลือดออกได้ดังนี้
- ใช้ผ้าก๊อซหรือผ้าสะอาดที่แห้งกดบริเวณแผลที่เลือดออก หากเลือดออกในข้อหรือกล้ามเนื้อ ให้ประคบด้วยความเย็น เช่น ผ้าห่อน้ำแข็ง เพื่อช่วยให้เลือดหยุดจากการหดตัวของหลอดเลือดเมื่อได้รับความเย็น
- ต้องให้ปัจจัยการแข็งตัวของเลือดทดแทน โดยต้องให้มีปัจจัยการแข็งตัวของเลือดขึ้นไปอยู่ในระดับที่ทำให้เลือดหยุด ซึ่งขึ้นอยู่กับอวัยวะหรือบาดแผลที่มีเลือดออก แพทย์จะคำนวณว่าจะให้ปัจจัยการแข็งตัวของเลือดทดแทน ชนิดใด ปริมาณเท่าใด และจะให้ถี่ห่างอย่างไร
- รักษาตามอาการ เช่น ถ้าปวดก็ให้รับประทานยาแก้ปวด เลือดไหลก็ให้หยุดเลือด เป็นต้น
แม้ว่าโรคเลือดออกง่ายจะต้องติดตัวลูกไปตลอดชีวิต แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าลูกจะไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้เหมือนคนปกติทั่วไปนะคะ เพียงแต่ว่าอาจจะต้องมีการวางแผนชีวิตไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการทำกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่ออันตรายกับร่างกายให้น้อยที่สุด ที่สำคัญควรมีบัตรประจำตัวให้เห็นด้วยว่า ลูกเป็นโรคดังกล่าว พร้อมกับระบุกรุ๊ปเลือดเพื่อลูกจะสามารถได้รับการช่วยเหลือได้อย่างถูกต้องและทันท่วงทีค่ะ
อ่านต่อเรื่องอื่น ๆ ที่น่าสนใจ:
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่