โรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง คืออะไร เมื่อประกาศปรับลดโควิด 19 เหลือแค่ให้เฝ้าระวัง หากติดโควิดช่วงนี้แล้วจะต้องปฎิบัติตัวอย่างไร เรามีคำตอบ
เมื่อโควิดปรับเป็น โรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง ติดมาต้องทำไง !!
โควิด 19 โรคติดต่อที่แพร่ระบาดรุนแรงในช่วงปีที่ผ่านมา ปัจจุบันมีประกาศให้ โรคโควิด 19 ปรับลดจาก “โรคติดต่อร้ายแรง” เป็น ” โรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง ” เริ่ม 1 ตุลาคม 2565 นี้ โรคทั้งสองแบบมีความแตกต่างกันอย่างไร ข้อปฎิบัติในการติดเชื้อแตกต่างกันหรือไม่ คงเป็นคำถามที่ชวนสงสัย หากเราติดเชื้อโควิดขึ้นมาในช่วงนี้ ไม่ต้องกังวล เรามีคำตอบให้คุณ
“หมอยง”ชี้ 8 เหตุผล ทำไมโควิด-19 ถึงเป็น โรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง!!
หมอยง ยก 8 เหตุผล ทำไม “โควิด-19” ถึงเป็นโรคที่ต้องเฝ้าระวัง เช่นเดียวกับ “ไข้หวัดใหญ่” พร้อมเชื่อว่าทุกอย่างจะดีขึ้นเรื่อยๆ คนส่วนใหญ่จะมีภูมิต้านทาน ยาที่ใช้รักษาก็จะดีขึ้น
วันที่ 2 ต.ค. 2565 ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความเรื่อง “โควิด-19 เป็นโรคประจำฤดูกาล หรือโรคที่ต้องเฝ้าระวัง” โดยระบุว่า เมื่อโควิด-19 เป็นโรคประจำฤดูกาล หรือโรคที่ต้องเฝ้าระวัง เช่นเดียวกับไข้หวัดใหญ่ หรือโรคทางเดินหายใจอื่นๆ อีกหลายโรค ทั้งนี้เพราะ
- ประชากรส่วนใหญ่มีการติดเชื้อไปแล้ว น่าจะถึง 70 เปอร์เซ็นต์ของประชากรทั้งหมด ร่วมกับการได้รับวัคซีนเป็นบางส่วน เมื่อรวมผลภูมิต้านทานที่เกิดขึ้นจากการได้รับวัคซีนและการติดเชื้อ ภูมิต้านทานที่เกิดขึ้นจะสามารถลดความรุนแรงของโรคได้ ทำให้ความรุนแรงของโรคลดลง
- ประชากรที่ได้รับวัคซีน ไม่ว่าจะได้กี่เข็ม ก็สามารถติดเชื้อได้ แต่ความรุนแรงลดลงเป็นที่ยอมรับได้ ต่อไปเราจะมุ่งเน้น เรื่องของการกระตุ้นด้วยวัคซีน เฉพาะในกลุ่มเสี่ยงเท่านั้น เช่นเดียวกับ “ไข้หวัดใหญ่”
- การระบาดของโรคนี้ จะอยู่ในรูปแบบของโรคทางเดินหายใจประจำฤดูกาล จะระบาดมากในฤดูฝนตั้งแต่เดือน มิ.ย. ถึงกลางเดือน ก.ย. แล้วก็จะลดลงเป็นประจำทุกปี และจะไประบาดเพิ่มอีกครั้งหนึ่งแต่ไม่สูงมาก ในเดือน ม.ค. ถึงเดือน มี.ค. แล้วจะเป็นวงจรเช่นนี้ทุกปี การลดลงของโรคตั้งแต่เดือน ก.ย. ถึงเดือน ธ.ค. เป็นเหตุปัจจัยปกติของโรคประจำฤดูกาล ทุกปีอยู่แล้ว เช่นเดียวกับไข้หวัดใหญ่
- การให้วัคซีนในอนาคต ไม่มีวัคซีนไหนเป็นวัคซีนเทพ อย่างที่เคยเรียกร้อง วัคซีนทุกตัวไม่ต่างกันเลย และวัคซีนที่ควรให้ ควรให้ก่อนฤดูฝน เพื่อป้องกันการเพิ่มขึ้นในฤดูฝน และกลุ่มเสี่ยง เป็นกลุ่มแรกที่ควรจะได้รับวัคซีนเช่นเดียวกับไข้หวัดใหญ่ วัคซีนในอนาคตไม่ว่าจะเป็น 2 สายพันธุ์ หรือ 3 สายพันธุ์ ก็เป็นเพียงแค่ลดความรุนแรงของโรคเท่านั้น ไม่ได้หวังเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
- ในผู้ที่ติดเชื้อและเป็นกลุ่มเสี่ยง ควรได้ยาต้านไวรัสให้เร็วที่สุดทันที ที่ตรวจเอทีเคเป็น 2 ขีด ถ้าให้เร็วจะลดระยะเวลาการดำเนินโรคลงได้ 3 วัน
- ผู้ที่เคยติดเชื้อมาแล้ว มีโอกาสเป็นซ้ำได้อีก เช่นเดียวกับไข้หวัดใหญ่ และในอนาคตเมื่อประชากรส่วนใหญ่มีพื้นฐานภูมิต้านทาน ความรุนแรงของโรคในกลุ่มที่มีร่างกายแข็งแรงปกติ จะน้อยลง เช่นเดียวกับไข้หวัดใหญ่
- ในอนาคตที่แย่งกันจองวัคซีนจากต่างประเทศ จะไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว เพราะไม่มีวัคซีนไหนเป็นวัคซีนเทพ ซึ่งขณะนี้วัคซีนที่อยู่ในประเทศไทย ก็มีเหลือเป็นจำนวนมากมาย และในที่สุดก็จะต้องหมดอายุไปตามกาลเวลา โรงงานวัคซีนหลายแห่งลดการผลิต บางแห่งก็ปิดไปก็มี
- การปฏิบัติตนให้แข็งแรง ป้องกันโรค ลดการแพร่กระจายโรค อย่างที่เรารู้จะช่วยลดการระบาดของโรคลง แต่ไม่สามารถที่จะทำให้โรคหมดไป และเราจะต้องอยู่ด้วยกัน ด้วยความจริง และเชื่อว่าทุกอย่างจะดีขึ้นเรื่อยๆ คนส่วนใหญ่จะมีภูมิต้านทาน ยาที่ใช้รักษาก็จะดีขึ้น โควิด-19 จะเป็นโรคทางเดินหายใจโรคหนึ่
โรคติดต่ออันตราย แตกต่างจาก โรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง อย่างไรกันนะ??
ความหมาย
- โรคติดต่ออันตราย หมายถึง โรคติดต่อที่มีความรุนแรงสูง และสามารถแพร่ไปสู่ผู้อื่นได้อย่างรวดเร็ว ได้แก่ กาฬโรค โรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา เป็นต้น
- โรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง หมายถึง โรคติดต่อที่ต้องมีการติดตาม ตรวจสอบ การวิเคราะห์ข้อมูล จัดเก็บข้อมูล ตลอดจนการรายงาน และการติดตามผลของการแพร่ของโรคอย่างต่อเนื่อง ด้วยกระบวนการที่เป็นระบบเพื่อประโยชน์ในการควบคุมโรค
ระยะเวลาสังเกตอาการ
ระยะเวลาที่กำหนดให้รายงานสถานการณ์/ผู้ป่วยต้องสงสัย เปลี่ยนจากทุก 3 ชม. เป็นรายวัน หรือไม่เกิน 7 วัน
- โรคติดต่ออันตราย ต้องรายงานให้กรมควบคุมโรคทราบทันที อย่างช้าไม่เกิน 3 ชม. ผู้สัมผัสต้องโดนกักตัว หรือคุมไว้สังเกตอาการตามระยะการฟักตัวของเชื้อ และจะมีการประกาศ “เขตติดโรค” นอกราชอาณาจักร โดย รมต.กระทรวงสาธารณสุข ทั้งนี้ หากพบผู้ป่วยต้องสงสัยแล้วไม่รายงานโรค หรือ ผู้สัมผัสไม่ให้ความร่วมมือ หรือ มีผู้ขัดขวางการปฏิบัติงาน จะมีความผิดทั้งจำและปรับ (โทษปรับไม่เกิน 20,000 บาท)
- โรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง ต้องรายงานให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทราบ โดยรายงานสัปดาห์ละ 1 ครั้ง บังคับให้ทุกโรงพยาบาล และห้อง Lab ทั้งรัฐและเอกชนมีหน้าที่รายงานสถานการณ์/ผู้ป่วยสงสัยติดเชื้อ ไม่มีมาตรการกักกันหรือคุมไว้สังเกตของผู้สัมผัส หากไม่รายงานตามหน้าที่ก็จะมีความผิด โทษปรับ 20,000 บาท
ขั้นตอนการแจ้งเหตุ
- โรคติดต่ออันตราย หากพบผู้ป่วยต้องสงสัย เจ้าบ้าน แพทย์ผู้ทำการรักษา เจ้าของ หรือผู้ควบคุมสถานประกอบการ ผู้ทำการชันสูตร มีหน้าที่ต้องแจ้งต่อเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ สังกัดกรมควบคุมโรคในส่วนกลาง หรือเจ้าหน้าที่ควบคุมโรคในพื้นที่นั้นๆ โดยต้องแจ้งด้วยวิธีที่เร็วที่สุดภายใน 3 ชั่วโมง นับแต่พบผู้ที่เป็นโรคโควิด-19 หรือมีเหตุอันควรสงสัยว่าเป็น
- โรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง หากพบผู้ป่วยต้องสงสัย มีหน้าที่ต้องแจ้งต่อเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ ในสังกัด สสจ. หรือแจ้งต่อเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ สังกัดสำนักอนามัย กทม. ภายใน 7 วัน นับแต่พบผู้ที่เป็นโรคโควิด-19 หรือมีเหตุอันควรสงสัยว่าเป็น โดยสามารถแจ้งได้หลากหลายช่องทาง ได้แก่
-
-
- แจ้งโดยตรงต่อเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ
- แจ้งทางโทรศัพท์
- แจ้งทางโทรสาร
- แจ้งเป็นหนังสือ
- แจ้งทางอีเมล
- แจ้งโดยวิธีการอื่นที่อธิบดีกรมควบคุมโรคกำหนดเพิ่มเติม
-
อ่านต่อ >>ข้อแนะนำการปฎิบัติตัว เมื่อติดเชื้อโควิด-19 ที่ถูกปรับเป็นโรคที่ต้องเฝ้าระวัง คลิกหน้า 2
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่