เพราะลูกน้อยวัยทารก ยังมีภูมิต้านทานที่พัฒนาไม่สมบูรณ์ ทำให้ติดเชื้อโรคต่างๆ และเจ็บป่วยไม่สบายได้ง่าย ซึ่งการพาลูกน้อยไปในสถานที่แออัดหรือชุมชน จะทำให้ลูกเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคร้ายต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะเชื้อโรคที่ติดต่อได้ง่ายผ่านการไอ จาม เสมหะและอื่นๆ ซึ่งไม่ใช่แค่ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ หรือเชื้อไวรัสที่หลายคนเข้าใจ เพราะอาการหวัดที่ลูกน้อยเป็นนั้นอาจเกิดจากเชื้อแบคทีเรียร้ายที่ชื่อว่า ไมโคพลาสมา ได้อีกด้วย
โรคติดเชื้อ ไมโคพลาสมา แบคทีเรียร้าย ติดต่อง่าย ตรวจยาก
โรคติดเชื้อไมโคพลาสมา เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่ง (Mycoplasma pneumonia) ซึ่งเป็นเชื้อแบคทีเรียขนาดเล็กในกลุ่มสายพันธุ์ Mycoplasma เชื้อโรคนี้ติดต่อได้ง่ายคล้ายไข้หวัดผ่านระบบทางเดินหายใจ คือ ติดเชื้อผ่านสารคัดหลั่ง เช่น น้ำมูก เสมหะ จากการไอ จาม สัมผัสกันใกล้ชิดกับผู้มีเชื้อ หรือได้รับละอองเชื้อโดยส่วนใหญ่เชื้อโรคชนิดนี้มักจะพบในเด็กวัยเรียน แต่ก็จะพบโรคนี้ในเด็กเล็กได้ประมาณ 5-10% ซึ่งทำให้เกิดอาการปอดติดเชื้อได้ถึง 20%
บทความแนะนำ โรคปอดบวมในเด็ก รู้ทันอาการ ป้องกันลูกเสียชีวิตได้ !!
จากอาการไข้หวัดธรรมดา สู่ปอดติดเชื้อรุนแรงได้
โรคติดเชื้อไมโคพลาสมานี้ ไม่มีอาการแสดงเฉพาะ อาการของเด็กที่ป่วยส่วนใหญ่จะคล้ายไข้หวัดธรรมดา โดยสามารถสังเกตการติดเชื้อของโรค จากอาการต่างๆ ดังนี้
- ลูกน้อยมีอาการหวัด มีน้ำมูก และมีไข้ต่ำๆ ซึ่งบางรายผ่านไป 4-5 วันก็สามารถหายเองได้
- หากลูกน้อยได้รับเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายในปริมาณมาก จะทำไห้มีไข้สูงมากกว่า 38 องศาเซลเซียส อาจมีอาการหนาวสั่น
- มีอาการไอ และจะมีอาการแสดงของปอดติดเชื้อคือไอเรื้อรังมากขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้เจ็บหน้าอกได้
- ลูกน้อยจะอ่อนเพลียปวดเมื่อยกล้ามเนื้อปวดศีรษะ ซึมลงหรือชัก เป็นอาการแสดงทางสมอง
- หายใจมีเสียงวี้ด หรือเวลาหายใจจะมีเสียงฟึดฟัดอยู่ในปอด หายใจลำบาก เป็นอาการที่บอกว่าปอดติดเชื้อ
- ลูกน้อยมีภาวะซีด เป็นอาการแสดงทางระบบเลือด
- แสดงอาการทางผิวหนัง คือ ลูกน้อยอาจมีผื่นจ้ำแดงตามร่างกาย
- ลูกน้อยอาจมีอาการ Walking Pneumonia คือลูกน้อยมีอาการปอดติดเชื้อแล้ว แต่ยังวิ่งเล่นได้ปกติ หมายถึงลูกอาจมีไข้มาหลายวัน และไอมาก แต่ยังวิ่งเล่นได้ดี ทำให้คุณพ่อคุณแม่คิดว่าลูกน้อยไม่เป็นอะไร แต่จะมีเสียงหายใจผิดปกติ ซึ่งเมื่อตรวจมักพบว่ามีเสมหะอยู่เต็มปอด ซึ่งหากปล่อยไว้ปอดจะถูกทำลายไปเรื่อยๆ จนถึงขั้นทำให้ระบบหายใจของลูกล้มเหลวเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่
ไมโคพลาสมา เชื้อโรคอันตรายตรวจพบได้ยาก
วิธีการตรวจที่จะทำให้รู้ได้ว่าลูกน้อยติดเชื้อโรคนี้ นอกจากการสังเกตอาการแสดงผิดปกติ ที่ดูรุนแรงมากกว่าไข้หวัดธรรมดาของลูกน้อยแล้ว คือการตรวจเลือดด้วยเทคนิค PCR (Polymerase chain reaction)โดยเก็บตัวอย่างเลือดไปตรวจหาเชื้อโรค และการตรวจน้ำมูกหรือเสมหะ เนื่องจากเชื้อไมโคพลาสมานี้ตรวจพบค่อนข้างยากต้องส่งไปตรวจที่แล็บใหญ่ มีค่าใช้จ่ายสูงมาก แพทย์จึงพิจารณารักษาตามอาการที่เกิดขึ้นของลูกน้อย ยกเว้นกรณีที่ลูกน้อยมีอาการติดเชื้อที่ปอดรุนแรง หายใจลำบากมากแพทย์จึงมักจะแนะนำให้เจาะเลือดตรวจหาเชื้อโรคเพื่อการรักษาได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น
ไมโคพลาสมา รักษาได้ หากไม่มีภาวะแทรกซ้อน
โรคติดเชื้อไมโคพลาสมาส่วนใหญ่มักจะไม่มีอาการรุนแรง และสามารถรักษาให้หายได้ แต่ก็ประมาทไม่ได้เพราะการติดเชื้อชนิดนี้สามารถทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงต่างๆ ได้ตามมา โดยการรักษาทั่วๆ ไปหากลูกน้อยเป็นหวัดไม่มีไข้ แพทย์อาจจะทำการรักษาแบบการติดเชื้อไวรัสธรรมดาทั่วๆ ไปก่อน แต่หากภายใน 2-3 วัน อาการไม่ดีขึ้น ยังมีไข้ ไอมาก หายใจมีเสียงและลำบาก แพทย์จะเริ่มสงสัยว่าป่วยจากเชื้อโรคนี้โดยให้ยากินในกลุ่มเฉพาะ และอาจจำเป็นต้องนอนรักษาในโรงพยาบาล เพื่อดูแลรักษาตามอาการแสดงของโรค หรืออาการที่เกิดจากภาวะแทรกซ้อนรุนแรง
บทความแนะนำ IPD โรคติดเชื้อ สาเหตุการตายอันดับ 1 ในเด็ก