เปลือกตากระตุก ลางบอกโรค!! โรคอะไร ป้องกันอย่างไร
อุ๊ย! ตากระตุก เป็นลางบอกเหตุอะไรหรือเปล่านะ? คุณพ่อคุณแม่แทบทุกท่านคงเคยเกิดอาการตากระตุกกันมาบ้าง หลายคนคงนึกไปถึงว่าเป็นลางบอกเหตุดีหรือร้าย แต่แท้ที่จริงแล้ว อาการ เปลือกตากระตุก เป็นสัญญาณเตือนว่าอาจมีอาการผิดปกติเกิดขึ้นกับคุณพ่อคุณแม่นะคะ
เปลือกตากระตุก คืออะไร
ตากระตุก (Eye Twitching) เป็นอาการขยับหรือกระตุกอย่างรวดเร็วของกล้ามเนื้อเปลือกตาโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ เกิดขึ้นได้ทั้งกับเปลือกตาบนและเปลือกตาล่าง แต่มักจะเกิดกับเปลือกตาบนและมักเกิดกับตาทีละข้าง สามารถเกิดขึ้นกับใครก็ได้ อาจเกิดแล้วหายไปได้เองภายในเวลาอันสั้น แต่อาจกลับมาเกิดขึ้นอีกครั้งในอีกไม่กี่ชั่วโมงถัดไป หรืออาจนานเป็นวันหรือมากกว่านั้นแล้วกลับมาเกิดซ้ำ
ผู้ที่มีอาการส่วนใหญ่จะพบว่าอาการไม่รุนแรง บางรายอาจมีอาการเพียงเล็กน้อย แต่บางรายอาจพบว่ามีอาการกระตุกอย่างรุนแรงจนทำให้รู้สึกต้องการที่จะหลับตาลงหรือก่อความรำคาญ และอาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคเรื้อรังหรือมีความรุนแรง โดยเฉพาะในรายที่มีอาการกระตุกของส่วนอื่น ๆ บนใบหน้าร่วมด้วย
สาเหตุของ เปลือกตากระตุก
แพทย์สันนิษฐานว่ามีความสัมพันธ์กับการทำงานของสมองส่วนที่ควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อผิดปกติ โดยอาการมักเกิดขึ้นจากความเครียด การอดนอน การบริโภคคาเฟอีนหรือแอลกอฮอล์มาก และอาจรวมไปถึงสาเหตุต่อไปนี้ เช่น
- เกิดการระคายเคืองที่ตาหรือเปลือกตาด้านใน
- ตาล้า
- ตาแห้ง
- เวียนศีรษะ
- ออกกำลังกาย
- แสงสว่าง ลม
- สูบบุหรี่
- ผลข้างเคียงจากการใช้ยาบางชนิด
หากมีอาการหนังตากระตุกเรื้อรัง หรือที่เรียกว่าโรคหนังตากระตุก (Benign Essential Blepharospasm) ซึ่งทำให้เกิดอาการตากระตุกทั้งสองข้างจากการเคลื่อนไหวผิดปกติ (Dystonia) ของกล้ามเนื้อรอบดวงตา ซึ่งยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่ปัจจัยต่อไปนี้อาจทำให้มีอาการแย่ลงได้
- เปลือกตาอักเสบ
- เยื่อตาอักเสบ
- ตาแห้ง
- เกิดการระคายเคืองจากปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม เช่น ลม แสงสว่าง แสงอาทิตย์ หรือมลภาวะ
- มีอาการอ่อนล้า
- มีความไวต่อแสงสว่าง
- มีความเครียด
- บริโภคแอลกอฮอล์หรือคาเฟอีนมากเกินไป
- สูบบุหรี่
สัญญาณบ่งบอกความผิดปกติ
อาการตากระตุกอาจเป็นสัญญาณของความผิดปกติบางอย่างที่เกิดขึ้นกับสมองและระบบประสาท โดยโรคหรือความผิดปกติของสมองและประสาทที่อาจทำให้เกิดอาการตากระตุก ได้แก่
- โรคอัมพาตใบหน้า (Bell’ Palsy) เป็นภาวะที่ทำให้ใบ้หน้าเพียงซีกหนึ่งเกิดอาการอ่อนแอลงหรือเบี้ยว
- ภาวะคอบิดเกร็ง (Cervical Dystonia) ทำให้คอเกิดอาการกระตุกและทำให้ศีรษะบิดเกร็งไปอยู่ในตำแหน่งที่ทำให้เกิดความไม่สะดวกสบาย
- โรคกล้ามเนื้อบิดเกร็ง (Dystonia) ทำให้เกิดอาการกล้ามเนื้อกระตุกและกล้ามเนื้อที่ได้รับผลกระทบจะมีการบิดเกร็ง
- โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง (Multiple Sclerosis: MS) เป็นโรคที่เกิดความผิดปกติของระบบประสาทส่วนกลาง ซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับกระบวนการรับรู้และการเคลื่อนไหว
- โรคกล้ามเนื้อช่องปากหรือขากรรไกรบิดเกร็ง (Oromandibular Dystonia) ไม่สามารถเคี้ยวอาหารได้ อ้าปากไม่ได้ ปวดกล้ามเนื้อ ปิดปากไม่ได้ กรามค้าง กลืนอาหารลำบาก หรือมีอุปสรรคในการพูด
- โรคทูเร็ตต์ (Tourette’s Disorder) โรคที่แสดงอาการกระตุกของกล้ามเนื้อหลายๆ มัดพร้อมๆ กัน ร่วมกับมีการเปล่งเสียงออกมาจากลำคอหรือจากจมูก โดยเปล่งเสียงเป็นคำที่มี/ไม่มีความหมาย
หากตากระตุกควรพบแพทย์เมื่อใด?
อาการตากระตุกมักจะหายไปได้เองภายในไม่กี่วันหรือสัปดาห์ แต่หากพบว่ามีอาการต่อไปนี้ ควรไปพบแพทย์
- มีอาการตากระตุกต่อเนื่องไม่หายเป็นระยะเวลา 1-2 สัปดาห์
- เปลือกตาลงมาปิดสนิทในขณะที่มีอาการกระตุก หรือลืมตาได้ลำบาก
- มีอาการกระตุกที่สวนอื่นบนใบหน้าหรือส่วนอื่นของร่างกายร่วมด้วย
- หนังตาตก
- เปลือกตาบวม แดงหรือมีขี้ตา
- เกิดการบาดเจ็บที่กระจกตา
สาเหตุที่ควรไปพบแพทย์ก็เพราะอาจเป็นโรคตาอื่น ๆ และภาวะที่มีอาการใกล้เคียงกัน เช่น ตาแห้ง ตาไวต่อแสง หรืออาการกระตุกที่ลามลงมายังส่วนอื่น ๆ ของใบหน้า หรือหากเกี่ยวข้องกับกล้ามส่วนต่าง ๆ ของใบหน้า แล้วแพทย์สงสัยว่าเกี่ยวข้องกับความผิดปกติของสมองหรือระบบประสาท แพทย์จะตรวจสอบหาสัญญาณหรืออาการอื่น ๆ เพิ่มเติม รวมไปถึงอาจส่งตัวไปให้แพทย์ระบบประสาทหรือผู้เชี่ยวชาญด้านระบบประสาทโดยเฉพาะ
การป้องกันอาการตากระตุก
เนื่องจากแพทย์สันนิษฐานว่าสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดอาการตากระตุก ได้แก่ ความเครียด การอดนอน การบริโภคคาเฟอีนหรือแอลกอฮอล์มาก หรือการสูบบุหรี่ อาการตากระตุกจึงป้องกันได้ ด้วยการดูแลตัวเอง ดังนี้
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
- บริโภคคาเฟอีนให้น้อยลง
- หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่
- พยายามลด หรือหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดความเครียด
- ในกรณีที่มีอาการตาแห้งใช้ ควรใช้น้ำตาเทียม หรือยาหยอดตาเพื่อหล่อลื่นดวงตาและเยื่อตา
- ใช้วิธีประคบร้อนเมื่อเริ่มมีอาการ เพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อบริเวณดวงตา
การรักษาโดยแพทย์
สำหรับกรณีที่ไม่มีรุนแรง แพทย์อาจแนะนำให้ใช้ยา เช่น ยาโคลนาซีแพม เป็นต้น ซึ่งสามารถบรรเทาอาการหรือหยุดอาการตากระตุกได้ชั่วคราว
หากอาการตากระตุกมีความรุนแรง แพทย์อาจส่งตัวให้จักษุแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง เพื่อรักษาด้วยการฉีดโบทอกซ์ (Botox) ซึ่งสามารถหยุดอาการตากระตุกได้ชั่วคราว และเมื่อโบทอกซ์หมดฤทธิ์ก็อาจต้องฉีดซ้ำอีกครั้ง
นอกจากนั้นการศัลยกรรม เช่น การตัดกล้ามเนื้อ (Myectomy) เป็นการตัดกล้ามเนื้อหรือเส้นประสาทตาของเปลือกตาออก เป็นวิธีที่อาจช่วยบรรเทาอาการของโรคตากระตุกที่มีความรุนแรงได้
อาการตากระตุกหายเองได้ แต่หากกระตุกเรื้อรังและเริ่มมีความผิดปกติอื่น ๆ คุณพ่อคุณแม่ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษานะคะ
ขอบคุณข้อมูลจาก
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่
อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก