ตกขาว เป็นอาการที่เกิดขึ้นกับผู้หญิงได้ในทุกวันรวมถึงคุณแม่ตั้งครรภ์ด้วย โดยจะแตกต่างกันไปในแต่ละคนที่อาจจะมีปริมาณมากในช่วงกลางรอบเดือนที่มีการตกไข่ หรือก่อนและหลังมีประจำเดือน หากเป็นตกขาวปกติก็จะไม่มีอันตราย แต่ถ้าตกขาวผิดปกติอาจเป็นสัญญาณอันตรายของโรคบางอย่างที่ไม่ควรมองข้าม มาทำความเข้าใจเรื่องนี้ที่ผู้หญิงทุกคนควรรู้ไว้กันค่ะ
รู้จัก ตกขาว ให้เข้าใจ
“ตกขาว” คือ สารคัดหลั่งที่ถูกขับออกมาทางช่องคลอด มีหน้าที่ช่วยในการหล่อลื่น ป้องกันการติดเชื้อ และระคายเคือง ซึ่งลักษณะ สี และปริมาณของตกขาวจะแตกต่างกันไปตามการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย และรอบเดือนในแต่ละคน โดยตกขาวที่ปกติที่จะมีลักษณะเป็นเมือกขาวขุ่นคล้ายแป้งเปียก มีสีขาวเล็กน้อย สีใสหรือไม่มีสี ไม่มีกลิ่นเหม็น ปริมาณไม่มาก และไม่ก่ออาการคัน ซึ่งจะพบว่ามีตกขาวมากในช่วงกลางของรอบประจำเดือนหรือหรือช่วงที่ใกล้กับการตกไข่ รวมทั้งในขณะตั้งครรภ์ และจะมีการหลั่งของเมือกในช่องคลอดมากขึ้นในขณะมีเพศสัมพันธ์
ภาวะตกขาวผิดปกติเกิดจากอะไร
ภาวะตกขาวผิดปกติสามารถเกิดขึ้นได้ในวัยเจริญพันธุ์ตั้งแต่ในเด็ก ผู้ใหญ่ ไปจนถึงวัยสูงอายุ รวมถึงคุณแม่ในขณะตั้งครรภ์ วิธีสังเกตง่าย ๆ ของตกขาวที่บ่งบอกถึงความผิดปกติ คือแสดงออกผ่านทางลักษณะของตกขาว ได้แก่ มีสีที่เปลี่ยน เช่น ตกขาวสีเหลือง เขียว เทา หรือมีเลือดปน มีกลิ่นเหม็น กลิ่นคาว หรืออาการร่วมอื่น ๆ เช่น คัน มีไข้ ปวดท้อง แสบร้อนบริเวณช่องคลอด เป็นต้น ซึ่งจะส่งผลต่อการเป็นโรคที่ไม่รุนแรงจนกระทั่งโรคที่รุนแรงก็ได้ โดยสาเหตุหลักที่เกิดขึ้นมาจาก
- สาเหตุจากการไม่ติดเชื้อ ตกขาวผิดปกติประเภทนี้อาจเกิดได้จาก การระคายเคืองหรือแพ้สารเคมี จากโรคมะเร็งในอวัยวะสืบพันธุ์สตรี เช่น มะเร็งปากมดลูก ช่องคลอด ท่อนำไข่ หรือเนื้องอก รวมทั้งเกิดจากการมีสิ่งแปลกปลอมในช่องคลอด
- สาเหตุจากการติดเชื้อ จะแสดงอาการผ่านทางลักษณะตกขาวผิดปกติ มีอาการคัน และกลิ่นเหม็น ได้แก่ การติดเชื้อรา ที่ส่งผลให้ตกขาวมีลักษณะเป็นก้อนเหมือนแป้งเปียก มักมีอาการคันบริเวณปากช่องคลอด หรือมีอาการแสบร้อนในช่องคลอด ปัสสาวะแสบขัด เจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์ เมื่อตรวจภายในอาจพบการบวมแดงบริเวณปากช่องคลอดและช่องคลอด การติดเชื้อแบคทีเรีย แบคทีเรียที่ไม่ดีมีการเจริญเติบโตเพิ่มจำนวน อาจเกิดขึ้นได้จากการมีคู่นอนหลายคน การสวนล้างช่องคลอด การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย และการขาดแบคทีเรียแลคโตบาซิลลัสในช่องคลอด ส่งผลให้ในบางรายมีตกขาวผิดปกติได้ และการติดเชื้อทริโคโมแนส ที่มักติดต่อจากการมีเพศสัมพันธ์
สีของตกขาวผิดปกติ
ลักษณะของสีที่เปลี่ยนไปในตกขาว อาจแสดงอาการเบื้องต้นถึงความผิดปกติบางอย่างที่เกิดขึ้นได้ อาทิเช่น
- ตกขาวสีเขียว ที่มีสาเหตุมาจากการการติดเชื้อแบคทีเรียในช่องคลอด หรือจากการที่มีสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในช่องคลอด รวมทั้งเกิดจากเชื้อที่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น หนองใน ลักษณะของที่สังเกตได้เบื้องต้น คือ ตกขาวจะมีลักษณะสีเขียว บางครั้งก็อาจจะมีสีเหลืองปนเขียว เป็นฟอง มีกลิ่นเหม็นคาวปลา ในบางรายอาจจะมีอาการคันแสบร้อนบริเวณปากช่องคลอดและช่องคลอด และปวดแสบขณะปัสสาวะร่วมด้วย หรือเจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์หรือเลือดออกหลังมีเพศสัมพันธ์ มีการอับเสบ บวมแดงบริเวณปากช่องคลอดและช่องคลอด เป็นต้น
- ตกขาวสีเหลือง มีทั้งแบบสีเหลืองเข้ม และแบบสีเหลืองใส ๆ พบได้บ่อยสุดในผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ อาจมาจากหลายสาเหตุ อาทิ จากเชื้อพยาธิในช่องคลอด โดยพยาธิชนิดนี้เป็นโรคติดต่อเชื้อทางเพศสัมพันธ์ชนิดหนึ่ง ทำให้เกิดตกขาวเปลี่ยนเป็นสีเหลือง อาจเห็นเป็นฟอง มีอาการคันบริเวณปากช่องคลอด และตกขาวอาจมีกลิ่นออกเปรี้ยวเล็กน้อย จากการติดเชื้อแบคทีเรีย ทำให้ตกขาวมีสีเหลืองขุ่น มีกลิ่นคาวปลาและคัน จากการติดเชื้อไวรัส จะมีตุ่มใส ๆ ขนาดเล็กหากแตกออกก็จะกลายเป็นแผล แสบคัน และส่งผลให้มีตกขาวสีเหลืองมีกลิ่นผิดปกติ และจากเชื้อรา ในบางรายอาจจะมีอาการคันลามไปถึงบริเวณขาหนีบได้
- ตกขาวสีขาวขุ่น สาเหตุจากเชื้อรา ที่ทำให้มีอาการคันบริเวณปากช่องคลอด หรือแสบร้อนในบริเวณช่องคลอด รวมไปถึงปัสสาวะแสบขัด และเจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์ เมื่อตรวจภายในอาจพบการบวมแดงบริเวณปากช่องคลอดและช่องคลอดด้วย
- ตกขาวสีเทา มักเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียในช่องคลอด โดยอาจมีอาการแสดงอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น มีกลิ่น คัน ระคายเคือง หรือมีอาการแดงบริเวณรอบ ๆ ช่องคลอด
- ตกขาวสีน้ำตาล หรือตกขาวที่มีเลือดปน อาจเป็นผลให้มีโอกาสเป็นเนื้องอกหรือมะเร็งปากมดลูกได้
- ตกขาวสีชมพู พบได้ในคุณแม่หลังคลอด เนื่องจากการลอกของเยื่อบุโพรงมดลูก
นอกจากสีของตกขาวแล้ว ยังมีลักษณะของตกขาวที่บ่งบอกถึงความผิดปกติ เช่น
- ตกขาวเป็นก้อนหนา อาจเกิดจากการติดเชื้อรา บริเวณอวัยวะเพศ มีอาการบวม แดง และคัน หรืออาจเจ็บเวลามีเพศสัมพันธ์
- ตกขาวข้นเป็นก้อนเหมือนแป้งเปียกคล้ายคราบนมของทารกที่ สาเหตุมาจากเชื้อราในช่องคลอด ที่ไม่ได้เกิดจากการติดต่อทางเพศสัมพันธ์แต่เกิดจากการใช้ยาปฏิชีวนะ น้ำยาสวนล้างช่องคลอดที่มีส่วนผสมของยาปฏิชีวนะ หรือในกรณีที่ผู้ป่วยมีภูมิต้านทานต่ำ เช่น ผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน ผู้ป่วยกำลังใช้ยาที่มีฤทธิ์กดภูมิต้านทาน ทำให้มีอาการคันช่องคลอด
- ตกขาวเป็นน้ำ มีตกขาวเป็นน้ำไหลหรือเป็นฟอง มักเกิดจากเชื้อปรสิตพยาธิพวกทริโคโมแนส
ตกขาวมีกลิ่นผิดปกติ
ตกขาวมีกลิ่นเหม็นเป็นอีกปัญหาที่พบได้บ่อย อาการนี้ไม่ใช่สาเหตุที่เกิดจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงของจำนวนแบคทีเรียกลุ่มไม่ดีเพิ่มจำนวนขึ้นในช่องคลอด ซึ่งเกิดขึ้นจากหลายสาเหตุ เช่น
- การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย เนื่องจากน้ำอสุจิมีความเป็นด่างและจะเปลี่ยนสภาพแวดล้อมในช่องคลอดซึงมีความเป็นกรดสูง
- การมีประจำเดือน ตกขาวจะมีกลิ่นเหม็นในช่วงก่อนมีประจำเดือนและหลังหมดประจำเดือนใหม่ๆ
- การสวนล้างช่องคลอด รวมถึงการนอนแช่ในอ่างน้ำที่มีฟองสบู่มาก
- ความอับชื้นของชุดชั้นใน
- การใส่ห่วงอนามัยชนิดมีฮอร์โมน
ตกขาวขณะตั้งครรภ์ อันตรายไหม
ระหว่างตั้งครรภ์คนท้องก็มีตกขาวที่สามารถเกิดขึ้นได้เป็นปกติ เนื่องจากในช่วงตั้งครรภ์เลือดจะไปหล่อเลี้ยงบริเวณช่องคลอดมากขึ้น ส่งผลให้ปริมาณของตกขาวในช่วงนี้มีมากกว่าเดิมจากที่เคยมีก่อนตั้งครรภ์ โดยเฉพาะในช่วงสัปดาห์ท้ายก่อนคลอด ศีรษะของทารกจะกดทับบริเวณปากมดลูก น้ำหนักกดทับทำให้มีตกขาวเพิ่มขึ้น ลักษณะเป็นมูกมากขึ้นและมีกลิ่นคล้ายกับเลือดปนอยู่ด้วย ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนว่าใกล้เวลาคลอดแล้วนั่นเอง
ส่วนภาวะตกขาวผิดปกติระหว่างตั้งครรภ์ อาจเกิดขึ้นในแม่ท้องที่ไม่เกิน 37 สัปดาห์ มีปริมาณตกขาวเพิ่มมากขึ้นจนผิดปกติและลักษณะของตกขาวเปลี่ยนไปจากเดิม เช่น ตกขาวมีลักษณะเป็นน้ำใส ๆ ไหลออกมาโดยไม่สามารถกลั้นได้ มีกลิ่นเหม็นคล้ายปลาเน่า อาจหมายถึงอาการน้ำคร่ำรั่วหรือน้ำคร่ำแตก ซึ่งเป็นสัญญาณที่อาจทำให้คลอดก่อนกำหนดได้ หรือเกิดอาการอักเสบของช่องคลอดจากเชื้อรา จะมีลักษณะตกขาวเป็นสีขาวหรือก้อนเล็ก ๆ ปริมาณมาก และอาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น ปวดแสบขัดเมื่อปัสสาวะ แสบร้อนในช่องคลอด ซึ่งเป็นอาการที่พบได้บ่อยในคุณแม่ตั้งครรภ์ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพของช่องคลอดระหว่างตั้งครรภ์เอื้อต่อการเจริญเติบโตของเชื้อต่าง ๆ ได้ดีจึงทำให้เกิดการติดเชื้อได้ง่ายขึ้น
ชมคลิปเรื่อง “อย่ามองข้าม..ตกขาวในผู้หญิงตั้งครรภ์” จากรายการพบหมอศิริราช โดย ผศ.พญ.เจนจิต ฉายะจินดา ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะเเพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
ป้องกันตกขาวผิดปกติได้
- หลีกเลี่ยงการสวนล้างช่องคลอด หรือการใช้น้ำยาอนามัยล้างเฉพาะที่โดยไม่จำเป็น ควรทำความสะอาดแค่ภายนอกด้วยการใช้น้ำสะอาดอย่างเดียวและซับให้แห้งก็เพียงพอ
- มีเพศสัมพันธ์ด้วยการใช้ถุงยางอนามัย เพื่อหลีกเลี่ยงการทำปฏิกิริยาของน้ำอสุจิในช่องคลอด ที่เป็นสาเหตุให้ตกขาวมีกลิ่นเหม็นได้
- หลีกเลี่ยงการใช้ผ้าอนามัยแผ่นบางทุกวัน เพื่อลดภาวะความอับชื้นและลดการสะสมของเชื้อโรค
- หลีกเลี่ยงการใส่กางเกงชั้นในที่อับชื้น หรือใส่กางเกงที่รัดเกินไป
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้มีสุขภาพแข็งแรง เมื่อร่างกายอ่อนแออาจส่งผลให้ภูมิคุ้มกันต่ำลง และการรับประทานยาฆ่าเชื้อหรือยากดภูมิอาจทำให้เกิดการติดเชื้อที่ตกขาวได้
- สำหรับผู้หญิงที่มีอายุ 21 ปีขึ้นไป หรือเริ่มมีเพศสัมพันธ์ ควรตรวจภายในเป็นประจำทุกปี เพื่อตรวจหาสิ่งผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นและทำการรักษาได้ทันท่วงที
ตกขาวผิดปกติแบบไหนควรไปพบแพทย์
หากสังเกตพบว่าตกขาวที่เกิดขึ้นมีลักษณะที่เปลี่ยนไป มีสีและกลิ่นที่แปลกไป มีปริมาณตกขาวที่มากขึ้น หรือมีอาการทางช่องคลอดร่วมด้วย อาทิเช่น
- มีอาการคัน เจ็บ แสบร้อน หรือระคายเคืองบริเวณอวัยวะเพศหรือช่องคลอด
- ตกขาวมีลักษณะเปลี่ยนไป มีลักษณะเป็นฟอง หรือมีลักษณะข้นคล้ายแป้งเปียกหรือคราบนม
- ตกขาวเปลี่ยนสี เช่น ตกขาวสีเขียว เหลือง เทา ฯลฯ
- การเปลี่ยนแปลงปริมาณตกขาวมากขึ้นจนผิดสังเกต
- มีเลือดหรือเลือดออกกะปริดกะปรอยในช่วงที่ไม่มีประจำเดือน
- ตกขาวมีกลิ่นเหม็นรุนแรง
หากมีอาการเหล่านี้หรือสงสัยว่าตกขาวผิดปกติ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจภายใน หาสาเหตุของความผิดปกติที่เกิดขึ้น และรักษาให้ตรงจุดที่สุด ในการรักษาอาการตกขาวผิดปกติแพทย์จะรักษาตามอาการ หากพบว่าเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย แพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะ หากเกิดจากเชื้อรา แพทย์จะให้ยาฆ่าเชื้อรา และถ้าหากเป็นการติดเชื้อจากการมีเพศสัมพันธ์ แพทย์จะให้ยารักษาร่วมกับคู่นอนด้วย สำหรับคนที่มีภาวะตกขาวผิดปกติแต่ปล่อยทิ้งไว้ไม่ยอมรักษา ก็อาจทำให้มีความเสี่ยงและเกิดอาการที่ลุกลามรุนแรงมากขึ้นได้ รวมถึงไม่ควรซื้อยารับประทานเองเนื่องจากยังไม่ทราบถึงสาเหตุของความผิดปกติที่ชัดเจน การซื้อยากินเองอาจส่งผลให้อาการแย่ลงกว่าเดิมได้.
ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : www.paolohospital.com, www.rama.mahidol.ac.th, www.bumrungrad.com, www.vibhavadi.com
อ่านต่อบทความที่น่าสนใจ คลิก :
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่