ปวดท้องน้อยจี๊ดๆ อาการประจำของผู้หญิงหลาย ๆ คนระหว่างมีประจำเดือน จึงมักถูกมองข้าม เพราะคิดว่าเดี๋ยวก็หายเหมือนช่วงที่มีประจำเดือน
ระวัง! ปวดท้องน้อยจี๊ดๆ อาจเป็นต้นเหตุจากโรคเหล่านี้
อาการที่มักเกิดกับผู้หญิงในระหว่างมีรอบเดือนคือ ปวดท้องน้อยจี๊ดๆ บางคนปวดมากขนาดไม่สามารถทำกิจกรรมอะไรได้เลย ได้แต่รับประทานยาและนอนอย่างเดียว แต่อาการปวดนี้คุณผู้หญิงไม่ควรไว้วางใจ ทีมกองบรรณาธิการ ABK ได้รวบรวมข้อมูลโรคที่เกี่ยวข้องกับอาการ ปวดท้องน้อย มาฝากเป็นความรู้ให้คอยระวังกันค่ะ
ระวัง! ปวดท้องน้อยจี๊ดๆ อาจเป็นต้นเหตุจากโรคเหล่านี้
อาการปวดท้องน้อย (pelvic pain) ในผู้หญิง เป็นอาการปวดตั้งแต่บริเวณใต้สะดือลงไปจนถึงหัวหน่าว มีทั้งการปวดแบบเฉียบพลัน และการปวดแบบเรื้อรัง อาจจะสัมพันธ์หรือไม่สัมพันธ์กับประจำเดือนได้ อาการปวดท้องน้อย อาจจะเกี่ยวข้องกับ 4 ระบบภายในร่างกาย ไม่ได้เกิดจากความผิดปกติภายในระบบสืบพันธุ์เพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมไปถึงระบบทางเดินปัสสาวะ ระบบลำไส้ และระบบกล้ามเนื้อด้วยเช่นกัน
อาการปวดท้องอย่างไร ที่ควรพบสูตินรีแพทย์
- ปวดเฉียบพลัน ทันที และมีอาการรุนแรง
- อาการปวดไม่ดีขึ้นหลังจากทานยาแก้ปวด
- อาการปวดที่เป็นนานเรื้อรัง รบกวนชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะเป็นมานานกว่า 6 เดือน
- อาการปวดที่มีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น มีไข้ คลื่นไส้อาเจียน ปัสสาวะแสบขัด มีประวัติมีบุตรยาก
- ปวดท้องประจำเดือนมาก และเป็นมากขึ้นเรื่อย ๆ
ซึ่งสาเหตุของอาการปวดนั้นมีได้ทั้งจากโรคเกี่ยวกับลำไส้ ทางเดินอาหาร ระบบทางเดินปัสสาวะ กล้ามเนื้อ หรืออาจเป็นมาจากโรคทางนรีเวช เช่น เนื้องอกมดลูก เยื่อบุโพรงมดลุกเจริญผิดที่ ถุงน้ำ (cyst) รังไข่
ปวดท้องน้อย อาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคดังนี้
-
โรคที่เกิดในระบบสืบพันธุ์
โรคที่พบได้บ่อยในระบบนี้ ได้แก่ โรคเนื้องอกมดลูก (Myoma Uteri) และโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Endometriosis) ในกลุ่มนี้จะมีอาการปวดประจำเดือนมาก ประจำเดือนมามาก มีลักษณะเป็นลิ่มเลือดหรือเป็นก้อน เวลาปวดจะปวดประจำเดือนและมักปวดร้าวไปทั้งหลัง ก้น จนถึงขา
ซึ่งในกลุ่มนี้หากมีอาการปวดท้องน้อย แพทย์จะต้องซักประวัติว่าก่อนว่าเคยมีประวัติโรคเกี่ยวกับมดลูกหรือรังไข่หรือไม่ เพราะโดยส่วนใหญ่มักจะมีอาการสัมพันธ์กับรอบเดือน หรือมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น ปวดท้องน้อย มีเลือดออกผิดปกติ มีปริมาณประจำเดือนมากกว่าปกติ ปัสสาวะบ่อย ท้องผูก ฯลฯ
-
- โรคเนื้องอกมดลูก (Myoma Uteri) อาการปวดมักเกิดจากการที่ก้อนเนื้องอกใหญ่จนมีการกดเบียดอวัยวะข้างเคียง การบิดขั้วของเนื้องอกจะทำให้เกิดการปวดที่รุนแรง ปวดท้องประจำเดือน หรือ มีเนื้อตายภายในเนื้องอก
- โรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Endometriosis) เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของการ ปวดท้องประจำเดือน โดยเฉพาะในคนที่มีประวัติมีบุตรยาก ปวดเรื้อรังนานกว่า 6 เดือน ปวดหน่วงขณะมีเพศสัมพันธ์ หรือ มีคลื่นไส้ อาเจียน ท้องอืด ระหว่างมีประจำเดือน กลุ่มโรคเยื่อบุโพรงมดลุกเจริญผิดที่ยังรวมถึงโรค chocolate cyst อีกด้วย
- เนื้องอก หรือ ถุงน้ำรังไข่ (Ovarian tumor) อาจเกิดการบิดขั้ว แตก รั่ว ของถุงน้ำ จะทำให้เกิดอาการปวดท้องแบเฉียบพลัน อาจมีเลือดออกในช่องท้อง หรือ ติดเชื้อได้ หากถุงน้ำมีขนาดใหญ่มากจะทำให้เกิดอาการแน่นท้อง จุก เสียด ทานอาหารอิ่มง่ายได้
-
โรคที่เกิดในระบบทางเดินปัสสาวะ
โรคที่พบได้บ่อยในระบบนี้ ได้แก่ กระเพาะปัสสาวะอักเสบ, ท่อปัสสาวะอักเสบ, นิ่ว, กรวยไตอักเสบ เป็นต้น มักจะมีความผิดปกติเกิดขึ้นกับปัสสาวะสามารถที่สังเกตได้ทันที เช่น รู้สึกแสบขัดขณะปัสสาวะ ปัสสาวะไม่สุด และปวดท้องน้อยร่วมด้วย หรือสีของน้ำปัสสาวะมีความผิดปกติ เช่น ปัสสาวะเป็นเลือด มีฟอง สีขุ่น
-
โรคที่เกิดในระบบลำไส้
โรคที่พบได้บ่อยในระบบนี้ ได้แก่ โรคลำไส้อักเสบ อาหารเป็นพิษ ติดเชื้อทางเดินอาหาร หรือโรคลำไส้แปรปรวน ซึ่งในกลุ่มนี้มักมีความผิดปกติที่ทางเดินอาหารหรือสำไส้ คนไข้จึงมักมีอาการคลื่นไส้อาเจียน ท้องผูก ท้องเสีย ถ่ายอุจจาระมีมูกปนเลือด หรือถ่ายเหลว ร่วมด้วย
-
โรคที่เกิดในระบบกล้ามเนื้อ
โรคที่พบได้บ่อยในระบบนี้ ได้แก่ กล้ามเนื้ออักเสบ มักพบว่าเป็นไปตามประวัติการใช้งานของคนไข้ อาการคือปวดบริเวณหน้าท้อง ท้องน้อย ไปจนถึงหัวหน่าว คนไข้ที่ปวดบริเวณนี้มักจะมีประวัติยกของหนัก หรือเกร็งกล้ามเนื้อ จากการออกกำลังกายอย่างหนัก
วิธีป้องกันและบรรเทาอาการปวดท้องน้อย
สำหรับผู้หญิงที่มีอาการปวดท้องประจำเดือนเป็นประจำ อาจป้องกันไม่ให้มีอาการปวดที่รุนแรงได้ โดยดูแลสุขภาพให้แข็งแรง ด้วยการออกกำลังกายสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ และรู้จักผ่อนคลายความเครียดเพื่อให้ประจำเดือนมาอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้ในช่วงที่มีประจำเดือน ควรรับประทานอาหารอ่อนที่ย่อยง่าย เพื่อไม่ให้ลำไส้เกิดการบีบรัดเกินไป จะช่วยทุเลาอาการปวดท้องน้อยได้
สำหรับอาการปวดท้องน้อยจากสาเหตุอื่น สามารถป้องกันได้ด้วยการดูแลรักษาสุขภาพ ออกกำลังกาย และควบคุมอาหาร รวมถึงมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงต่อความผิดปกติต่าง ๆ อันเป็นสาเหตุของอาการปวดท้องน้อยได้
สิ่งที่สำคัญ! คือผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์แล้วควรตรวจภายในเป็นประจำทุกปี ส่วนในกลุ่มที่ยังไม่มีเพศสัมพันธ์ ควรตรวจภายในปีละครั้งเมื่ออายุมากกว่า 30 ปี หากตรวจติดต่อกัน 3 ปีแล้วไม่พบความผิดปกติก็สามารถตรวจเว้นปีได้
การตรวจและการวินิจฉัย
- การซักประวัติและการตรวจร่างกาย
- การตรวจภายใน
- การตรวจด้วยอัลตราซาวด์
- การส่องกล้องเพื่อดูพยาธิสภาพบริเวณอุ้งเชิงกราน
อาการปวดท้องน้อยจากเนื้องอกมดลูกหรือเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ สามารถรักษาได้ด้วยวิธีการดังนี้
- รักษาด้วยการให้ยา มีทั้งยาทานและยาฉีด ยาทั่วไปที่แพทย์มักจะใช้ในการรักษาโรคปวดท้องน้อยก็คือ ยาลดปวด ยาคุมกำเนิด และยาฮอร์โมนชนิดอื่น ๆ
- รักษาด้วยการผ่าตัด หากผู้ป่วยมีอาการรุนแรง และมีสาเหตุของโรคที่เกิดจากเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่, มีเนื้องอกขึ้นตามอวัยวะต่าง ๆ ที่รักษาด้วยยาแล้วไม่ดีขึ้น ก็จำเป็นที่จะต้องรักษาด้วยการผ่าตัด อย่างไรก็ตาม แพทย์จะทำการวินิจฉัยอีกทีว่าควรรักษาด้วยการผ่าตัดหรือไม่
โดยการผ่าตัดทำได้ 2 วิธีคือ ผ่าตัดผ่านกล้องซึ่งมีข้อดีคือมีแผลเล็ก ฟื้นตัวได้เร็ว และคนไข้ไม่เจ็บตัวมาก และการผ่าตัดเปิดหน้าท้องที่คนไข้จะต้องพักฟื้นนานกว่า แต่ก็มีข้อดีคือค่าใช้จ่ายถูกกว่า - รักษาด้วยวิธีอื่น ๆ นอกจากวิธีดังกล่าวแล้ว ยังสามารถทำการรักษาได้ด้วยวิธีอื่น ๆ อีก เช่น ทำกายภาพบำบัด เพื่อรักษาอาการปวดเกร็งของกล้ามเนื้อ และออกกำลังกายด้วยวิธีต่าง ๆ รวมไปถึงการฝึกบุคลิกภาพแบบใหม่ เป็นต้น
ผ่าตัดเปิดหน้าท้อง | ผ่าตัดส่องกล้อง | |
ข้อดี | ใช้ในกรณีเนื้องอกขนาดใหญ่มาก หรือมีการลุกลามอวัยวะข้างเคียง | – ใช้ได้ดีในโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ เพราะสามารถเห็นรอยโรคชัดเจน – แผลเล็ก – ฟื้นตัวเร็วระยะการนอนโรงพยาบาลและการพักฟื้นที่บ้านสั้น – เสียเลือดน้อย -ปวดหลังผ่าตัดน้อย |
ข้อเสีย | – เสียเลือดมากกว่า – เกิดพังผีดหลังการผ่าตัดมากกว่า |
– ไม่ใช้ในบางกรณี เช่น มีการติดเชื้อกระจายในช่องท้อง – ไม่สามารถทำได้ในกรณีฉุกเฉิน เช่น มีภาวะช็อค |
ทั้งนี้การรักษาจะมีประสิทธิภาพดีหรือไม่ดี ล้วนขึ้นอยู่กับความร่วมมือของผู้ป่วยร่วมด้วย หากผู้ป่วยสามารถจดจำรายละเอียด หรือให้ข้อมูลในขณะปวดท้องได้อย่างชัดเจน ย่อมมีโอกาสที่แพทย์จะหาสาเหตุให้ตรงกับโรคที่เป็นอยู่ได้มากยิ่งขึ้น
เพราะอาการปวดท้องน้อย อาจเป็นสัญญาณอันตรายที่กำลังบอกว่าระบบการทำงานของอวัยวะที่อยู่ในหรือใกล้กับท้องน้อยของเรากำลังมีปัญหา ดังนั้น คุณผู้หญิงไม่ควรชะล่าใจ หากสังเกตพบความผิดปกติจำเป็นต้องพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อทำการรักษาตามสาเหตุของโรค ความรุนแรงและอายุของผู้ป่วย และควรรับการตรวจสุขภาพประจำปีอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งจะช่วยคัดกรองโรคทางนรีเวชเหล่านี้ได้ หากตรวจพบได้เร็ว รักษาได้ไว ก็จะช่วยให้กลับมามีสุขภาพที่ดีเหมือนเดิมได้
บทความเกี่ยวกับการ ปวดท้องน้อยจี๊ดๆ ที่ทีมกองบรรณาธิการ ABK รวบรวมข้อมูลมาฝากนี้ คงเป็นประโยชน์สำหรับคุณผู้หญิงที่มีอาการดังกล่าวนี้นะคะ หากคุณผู้หญิงเกิดอาการ ปวดท้องน้อยใต้สะดือ ขึ้นมา ทั้งแบบเฉียบพลัน และแบบเรื้อรัง ถ้ารักษาเบื้องต้นด้วยตนเองแล้วไม่ดีขึ้น ควรรีบไปพบแพทย์นะคะ
อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก
ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.phyathai.com, https://www.nakornthon.com
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่