กลุ้มใจจัง! พึ่งแต่งงานได้ไม่นาน หวังมีลูกให้เป็นพยานรัก แต่ทำไมถึงมีอาการผิดปกติหลังสามีหลั่งใน ขอแชร์ประสบการณ์โรค”แพ้ น้ำอสุจิ ” โรคนี้มีจริงหรือ?
เมื่อฉัน “แพ้ น้ำอสุจิ จากสามี”
วันนี้แม่ทีม ABK อยากขอแชร์ประสบการณ์ส่วนตัวที่เป็นเรื่องราวที่ไม่น่าจะเป็นปัญหากับความสัมพันธ์ระหว่างเรากับแฟนที่คบกันมาหลายปี จนความรักสุกงอมก็ตกลงใจลงหลักปักฐานกัน แต่งงานพร้อมมีเจ้าตัวน้อยเป็นพยานรัก เป็นโซ่ทองคล้องใจระหว่างสามีภรรยา แบบครอบครัวอื่น ๆ ทั่วไป แต่สิ่งที่ทำให้ต้องมาสะดุดกับเป็นปัญหาที่เราไม่เคยทราบ หรือรู้มาก่อนเลยว่ามีอยู่จริงในโลกใบนี้ จึงอยากมาเล่าสู่กันฟังให้แก่คนอื่น ได้รับรู้และจะได้รับมือ หรือรู้ตัวทันก่อนที่จะสายเกินไป
โดยเรื่องเริ่มต้นหลังจากแต่งงาน เมื่อเราเริ่มมีความสัมพันธ์กันแบบไม่ใช้ถุงยางอนามัย เพราะว่าเราต้องการจะมีลูก หลังจากที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีปัญหาเพราะว่าใช้การคุมกำเนิดแบบใส่ถุงยางทุกครั้ง แต่เมื่อมีการหลั่งใน เรากลับรู้สึกคัน เป็นอาการคันแบบแสบ ๆ มันรู้สึกยุกยิก ๆ แสบ ๆ แบบบอกไม่ถูก เลยรีบไปล้างน้ำก็ทุเลาลงบ้าง ครั้งแรก ๆ ก็ไม่ได้คิดอะไร แต่พอเป็นหลายครั้งเข้าเราเริ่มกังวล เลยลองหาข้อมูลดูว่ามีใครมีอาการแบบเราบ้างไหม ก็พอได้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องว่ามีโรคที่สามารถทำให้ผู้หญิงแสบคันช่องคลอดได้เวลามีเพศสัมพันธ์ ดังนี้
-
-
- เชื้อราในช่องคลอด เป็นโรคที่พบได้บ่อยในผู้หญิง โดยเกิดจากการเพิ่มจำนวนของเชื้อราในช่องคลอดที่มากกว่าปกติ ส่งผลให้เกิดอาการคัน รู้สึกแสบร้อน และอาจมีตกขาวลักษณะเป็นก้อนไหลออกมาจากช่องคลอด ซึ่งอาจเกิดจากการใช้ยาปฏิชีวนะเป็นเวลานาน เพราะยาดังกล่าวจะทำลายแบคทีเรียชนิดที่ดีที่ช่วยควบคุมจำนวนของเชื้อราในช่องคลอด
- ช่องคลอดแห้ง ผู้หญิงที่เข้าสู่วัยทองหรือวัยหมดประจำเดือนจะมีระดับของฮอร์โมนเพศหญิงเอสโตรเจนลดลง ทำให้เมือกที่เคลือบช่องคลอดบางลง ส่งผลให้ช่องคลอดแห้งจนอาจทำให้เกิดอาการคันและระคายเคืองได้
- มีแผลถลอกในช่องคลอดจากโรคผิวหนังบางชนิดอาจทำให้ผิวบริเวณจุดซ่อนเร้นเกิดอาการคันและแดง เช่น โรคผิวหนังอักเสบที่มักเกิดกับผู้ป่วยโรคภูมิแพ้หรือโรคหืด โดยอาจมีผื่นแดงคันหรือตกสะเก็ด และอาการอาจลุกลามไปยังช่องคลอด หรือโรคสะเก็ดเงินที่มักทำให้ผิวหนังตกสะเก็ด มีอาการคันหรือแดงบริเวณหนังศีรษะและตามข้อพับต่าง ๆ เป็นต้น
- แพ้น้ำอสุจิ ที่ทำให้คนที่มีอาการแพ้เกิดผื่นคัน หรือลมพิษรอบตัว บางรายถ้าหากแพ้รุนแรงยังหายใจติดขัด ท้องเสีย และมีอาการอื่น ๆ ตามมา
-
จากการหาข้อมูลทำให้ทราบว่ามีคนที่มีปัญหาคล้าย ๆ กันอยู่มากเหมือนกัน แต่คงเป็นเพราะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างส่วนตัวทำให้ผู้หญิงอายที่จะบอก หรือปรึกษาใครต่อใคร อย่างแรกที่อยากจะบอกเลย ส่วนตัวว่าเมื่อเรามีปัญหาในเรื่องนี้ เราควรบอกกับคู่นอนของเราให้รู้ไว้จะดีกว่า ที่จะมาอดทนเก็บอาการไว้แต่เพียงคนเดียว เพราะเมื่อเราทนไม่บอก คู่ของเราก็ไม่มีทางรู้ได้เลย แถมเมื่อเราเกิดอาการผิดปกติเหล่านี้ ทำให้เกิดอาการกลัว ไม่มีอารมณ์ ไม่อยากมีเพศสัมพันธ์อีก แล้วถ้าคู่ของเราไม่เข้าใจก็อาจนำพามาสู่ปัญหาความขัดแย้ง ความแตกแยก ปัญหาความสัมพันธ์ได้เลย ดังนั้นเมื่อเรื่องนี้เป็นเรื่องของคนสองคน เราควรบอกให้คู่ของเราได้รับรู้ และร่วมกันแก้ปัญหา ทุกปัญหามีทางออกเสมอ คู่ของคุณต้องเข้าใจอย่างแน่นอน เหมือนดั่งเรื่องของเราที่สุดท้าย ก็ตัดสินใจที่จะพากันไปพบแพทย์เพื่อตรวจภายในหาสาเหตุที่แท้จริง หลายคนคงสงสัยว่าทำไมต้องไปพบแพทย์ทั้งคู่ เพราะว่าอาการดังกล่าว อาจไม่ได้เกิดจากฝ่ายหญิงเพียงฝ่ายเดียว สาเหตุที่มาจากฝ่ายชายก็มีโอกาสเป็นไปได้ ดังเช่น
-
-
- ติดเชื้อหนองในแท้ หนองในเทียม พบว่าผู้ชายร้อยละ10 และผู้หญิงร้อยละ 50 จะไม่แสดงอาการ ในกรณีที่มีอาการจะเริ่มแสดงอาการเมื่อ 1-14 วันหลังได้รับเชื้อ อาการในผู้หญิง ได้แก่ ตกขาวผิดปกติ เช่น ปริมาณมากขึ้น มีสีเหลืองหรือเขียว แสบเวลาปัสสาวะ ปวดท้องน้อย เลือดออกกะปริบกะปรอย ระหว่างรอบเดือน(พบน้อย) เป็นต้น สำหรับอาการในผู้ชาย ได้แก่ มูกใสออกจากท่อปัสสาวะโดยไม่ใช่น้ำปัสสาวะหรือน้ำอสุจิ แสบ เวลาปัสสาวะ ปวดที่อัณฑะ มีการอักเสบที่หนังหุ้มปลายองคชาต(พบน้อย) เป็นต้น
- หูดหรือเริมที่อวัยวะเพศ อาการของโรคหูดหงอนไก่เป็นได้ตั้งแต่ไม่มีอาการเลย ไปจนถึงมีก้อนโตมากจนอุดกั้นช่องคลอด ทวารหนักหรือท่อปัสสาวะ บางรายมีเลือดออกจากก้อนคันถึงคันมาก ตกขาวผิดปกติหรือแม้แต่แสบร้อนที่อวัยวะเพศ
-
วันฟ้าใส..
ในระหว่างที่รอคุณหมอนั้น เป็นช่วงเวลาที่ค่อนข้างตื่นเต้น กังวล คิดมากต่าง ๆ นานาเลยทีเดียวสำหรับเรา กังวลจิตตกไปว่าหากเราผิดปกติมาก เราจะสามารถมีลูกได้สมใจหรือไม่กันนะ แล้วจะมีวิธีรักษาไหม เป็นโรคร้ายอะไรไหม จะทำให้เป็นหมันเลยหรือเปล่า ได้แต่เก็บคำถามมากมายไว้ในใจ เหมือนโลกหม่นลงไปเลยทีเดียว
เมื่อเข้าพบคุณหมอ จากที่เคยคิดว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดี ต้องยอมรับว่าอาย แหมก็มันเรื่องส่วนตั๊ว..ส่วนตัวนี่นา แต่ขอบอกเลยว่าไม่น่ากลัวเลยสักนิด คุณหมอพูดคุยแบบสบาย ๆ มากเลย อาจเป็นเพราะความมืออาชีพ และเป็นเรื่องปกติสำหรับอาชีพของหมอกระมัง ดังนั้นสบายใจกันได้เลยจ้า ไม่ต้องเกร็ง ไม่ต้องอายเวลาเข้ามาปรึกษากัน โดยคุณหมอจะทำการชักประวัติกันละเอียดว่าอาการแพ้เกิดขึ้นหลังร่วมเพศทันทีหรือไม่ หรือเกิดจากการติดเชื้ออื่น ๆ หากไม่ได้มาจากการติดเชื้ออื่นแล้ว คุณหมอจึงได้กล่าวว่า อาจเป็นอาการของโรค “แพ้น้ำอสุจิ” ฟังชื่อโรคกันแล้วคงมึนงง งุนงวยกันใช่ไหม แต่ความจริงแล้วโรคนี้ไม่ใช่โรคใหม่แต่อย่างใดโรคนี้เกิดกับผู้หญิงในประเทศสหรัฐอเมริกามากถึง 20,000 – 40,000 คนเลย!! เรียกได้ว่าเป็นสถิติที่น่าตกใจจริง ๆ ถึงแม้ว่าในไทยจะไม่ค่อยเป็นที่รู้จักกันนัก ดังนั้นเรามาทำความรู้จักันโรคแพ้น้ำอสุจินี้กันเถอะ
หลังจากที่คุณหมอสงสัยว่าจะเป็นโรคนี้ คุณหมอก็จะทำการเช็คละเอียดให้แน่ใจว่าเป็นการแพ้อสุจิจริง โดยวิธีการ คือ การฉีดไขมันชนิดที่อยู่ในอสุจิเข้าไปในบริเวณใต้ผิวหนัง หากพบว่ามีอาการบวมเกิดขึ้น หรือความผิดปกติอื่น ๆ เป็นไปได้ว่ามีอาการแพ้อสุจิจริง
โรคแพ้น้ำอสุจิ จะเรียกกันให้ตรง ๆ ต้องบอกว่าเป็นการแพ้โปรตีนที่อยู่ในน้ำอสุจิซึ่งผู้ที่แพ้จะมีอาการแสบคันบริเวณช่องคลอด หรือมีผื่นแดงขึ้นทั่วร่างกาย บางรายหากแพ้มาก ๆ อาจส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจได้ด้วย รวมถึงคลื่นไส้ อาเจียน โดยอาการจะเกิดหลังจากมีเพศสัมพันธ์ 2-3 นาที เช่น อาการแสบร้อนในช่องคลอดหลังมีการหลั่งอสุจิบริเวณดังกล่าวกลายเป็นอุปสรรคของกิจกรรมคู่รัก เพราะเมื่อเกิดอาการแพ้แล้วจะทำให้ไม่อยากร่วมเพศอีกโดยอาการแพ้น้ำอสุจิเกิดจากร่างกายเกิดการต่อต้านเหมือนกับอาการแพ้อาหารทะเลและอื่น ๆ ทำให้แสดงอาการแพ้ขึ้น โดยอาการแพ้จะสามารถแสดงได้ทุกที่ที่มีการสัมผัสกับอสุจิของคนที่มีอาการแพ้ เช่น ผิวหนัง ช่องคลอด ปาก และอื่น ๆ
5 อาการบ่งบอกว่าคุณกำลังเป็น
- มีผื่นแดง หรือลมพิษขึ้น
โดยผื่นแดงดังกล่าวนั้น มักจะเกิดตรงบริเวณที่ได้มีการสัมผัสกับน้ำอสุจิ
นอกจากนี้ยังมีอาการอื่นตามด้วย ยกตัวอย่างเช่น บวม ปวดและคัน เป็นต้น - รู้สึกร้อนไหม้บริเวณช่องคลอด หรือปากช่องคลอด
- หายใจติดขัด และหอบ เหนื่อยง่าย
- ความดันโลหิตต่ำ รู้สึกมึนงง วิงเวียนศีรษะ
- ผิวหนังไหม้ พอง เป็นต้น
หรืออีกวิธีการสังเกตที่ดีก็คือ หากหลังมีเพศสัมพันธ์โดยไม่สวมถุงยางอนามัยแล้วเกิดอาการ ให้ลองสังเกตใหม่โดยการมีเพศสัมพันธ์ครั้งต่อไปให้ใช้ถุงยางอนามัยแล้วดูว่าหลังการร่วมเพศมีอาการเกิดขึ้นหรือไม่ หากไม่มีอาการอาจเป็นไปได้ว่ามีการแพ้อสุจิเกิดขึ้น
แล้วเราจะหายจากอาการแพ้น้ำอสุจิได้ไหม?
อาการแพ้น้ำอสุจินั้น สามารถรักษาได้โดยวิธีที่ใช้รักษาโรคภูมิแพ้ทั่วไป และเราสามารถป้องกันอาการแพ้ได้โดยการใช้ถุงยางอนามัย ซึ่งถือเป็นการป้องกันเพื่อตัวเราเอง เพราะก็เหมือนกับอาการแพ้อย่างอื่น ๆ หากเราไม่ได้สัมผัสกับสิ่งที่แพ้ก็ไม่เกิดอาการ แต่ก็ต้องคอยสังเกตตัวเองด้วยเช่นกันนะว่า อาการแพ้ที่ว่านั้นเป็นเพราะถุงยางอนามัยหรือไม่ เพราะผู้หญิงบางคนนั้นแพ้โปรตีนหรือสารหล่อลื่นที่อยู่ในถุงยาง เนื่องจากว่าเป็นสารหล่อลื่นนั้นก็เป็นโปรตีนชนิดเดียวกันนั่นเอง โดยอาจลองเปลี่ยนยี่ห้อดูหากเกินอาการแพ้
แพ้น้ำอสุจิแล้วยังท้องได้ไหม?
นี่คงเป็นคำถามที่คนอยากเป็นแม่หลาย ๆ คน รอคอย ตัวเราเองก็เช่นกัน ผลกระทบจากอาการแพ้น้ำอสุจิ อาจทำให้ผู้ที่มีอาการแพ้ไม่อยากร่วมเพศทำให้กิจกรรมกระชับความสัมพันธ์อาจสะดุด ไม่บ่อยจึงอาจส่งผลต่อการตั้งครรภ์ที่ลดน้อยลงตามมา นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้เป็นอุปสรรคต่อการตั้งครรภ์มากกว่า แต่มิได้หมายความว่าคุณจะเป็นหมัน แต่ไม่ต้องกังวลไปเพราะอาการนี้สามารถรักษาได้ด้วยการกระตุ้นเพื่อให้เกิดอาการแพ้น้อยลง หมอจะใช้วิธีการฉีดไขมันในอสุจิเข้าไปใต้ผิวหนัง เพื่อให้ร่างกายยอมรับช่วยลดอาการแพ้ให้น้อยลงได้ แต่ถ้าหากในรายที่มีอาการแพ้มาก ๆ ก็อาจต้องทำการปฏิสนธิภายนอก แล้วมาฝังที่ไข่ของผู้หญิงแทนเพื่อให้ท้องได้คำตอบอย่างนี้คงจะสบายใจกันลงบ้างแล้วใช่ไหม อย่างน้อยเราก็ยังสามารถมีลูกสมใจได้ อย่าพึ่งวิตกกังวลกันจนเกินไป
ในกรณีเปลี่ยนคู่นอนก็มีผลต่ออาการแพ้เช่นกัน เพราะในน้ำอสุจิของแต่ละคนมีสารแอนติเจนที่ไปกระตุ้นภูมิคุ้มกันของผู้ที่ได้รับแตกต่างกัน ดังนั้นบางครั้งการร่วมหลับนอนกับคนหนึ่งอาจเกิดอาการแพ้ ขณะที่การร่วมหลับนอนกับอีกคนหนึ่งอาจไม่เกิดอาการแพ้ก็ได้ส่วนสาเหตุที่เกิดขึ้นสำหรับคนที่มีอาการแพ้น้ำอสุจิยังไม่ทราบแน่ชัดว่าเกี่ยวข้องทางพันธุกรรมหรือไม่
คุณแฟนก็ต้องระวังด้วยนะ..
ในผู้ชายก็สามารถแพ้น้ำอสุจิตัวเองได้เช่นกัน ซึ่งอาการจะเกิดขึ้นเมื่อมีการหลั่งน้ำอสุจิผ่านบริเวณท่อปัสสาวะ โดยอาการของผู้ชายที่แพ้น้ำอสุจิจะมีอาการของไข้หวัด มีน้ำมูก ไข้ขึ้น หรือปวดเมื่อยตามตัวอย่างรุนแรง แต่ถึงอย่างไรก็ตามในผู้ชายที่แพ้น้ำอสุจิตัวเองก็ยังพบได้น้อยมาก
จากประสบการณ์ของเรา นับว่ายังโชคยังดีที่เราและสามีใจเย็น และเปิดใจยอมรับฟังปัญหาของกันและกัน จึงได้ช่วยกันแก้ปัญหาได้ทันก่อนที่อะไรมันจะสาย ความสัมพันธ์ระหว่างเราก็ยังคงอยู่ เมื่อเรารู้ตัวว่ามีปัญหา การหาทางแก้ไขก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป ดังนั้นสาว ๆ ทั้งหลายจ๋า หากเกิดปัญหาดังที่เราได้เล่าอาการต่าง ๆ มาให้รับรู้ ก็รีบคุยกันดีกว่า เพราะทุกปัญหามีทางออก อย่ามัวแต่อาย เก็บงำความลับไว้กับตัวอีกเลย
เพียงคุณกล้าเปิดใจ แล้วความรักก็จะกลับมาสดใสซาบซ่ากันอีกครั้ง
ขอขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล/ Rama Channel / Pobpad / Wikipedia
อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก
โรค PCOS กับการตั้งครรภ์ มีลูกยาก อยากท้อง อยากมีลูกต้องทำอย่างไร
ทำกิ๊ฟ vs เด็กหลอดแก้ว ทางเลือกของคนมีลูกยาก แตกต่างกันอย่างไร?
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่