อาการของคนเป็นโรคนี้ก็คือเห็นอะไรเป็นเงินเป็นทองหมด เห็นหาดสวย ภูเขาสวยก็นึกถึงการทำรีสอร์ททันที คิดสะระตะว่าเขาจะขายไหมและจะเอามาหาเงินได้อย่างไร มิได้คิดว่ามันเป็นสิ่งงดงามโดยธรรมชาติและเป็นของมนุษยชาติ
นอกจากนี้ก็เป็นคนติดแบรนด์เนมราคาแพงงอมแงม บางครั้งถึงไม่มีเงินซื้อในปัจจุบันก็ซื้อเชื่อผ่านบัตรเครดิตไปก่อนก็ได้
คนเป็นโรคนี้จะมีอาการของการเป็นคนชอบใช้เงิน และเชื่อว่าเงินแก้ไขทุกปัญหาได้ ถ้าจะไม่ให้ลูกติดโรคนี้ พ่อแม่ก็ต้องไม่เป็นโรคนี้ก่อนละครับ
ในโลกทุนนิยม ทุกคนก็ติดโรคนี้ด้วยกันทั้งนั้น ถึงแม้จะยังไม่มั่งคั่งพรั่งพร้อมก็ตามที ประเด็นจึงอยู่ที่ดีกรีของการติดเชื้อโรคนี้ พ่อแม่ช่วยลูกไม่ให้ติดโรคนี้ในดีกรีงอมแงมได้ครับ
1) การไม่ท่องบ่นมนตรา “แบรนด์เนม” อยู่ตลอดเวลา
พ่อแม่ไม่จำเป็นต้องซื้อของแบรนด์เนมให้ลูกเห็นในทุกเรื่องโดยอธิบายให้ลูกเข้าใจว่าแต่ละกรณีก็มีความเหมาะสมไม่เหมือนกัน บางครั้งการซื้อของแบรนด์เนมทำให้ได้ประโยชน์จากเงินมากกว่าถ้าหากมีเงินซื้อ กล่าวคือทนทานกว่าและสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการใช้
2) ไม่ใช้จ่ายอย่างเขลา ๆ ให้ลูกเห็น
เช่น เปลี่ยนโทรศัพท์รุ่นใหม่ทุกสามเดือนหรือไปกินอาหารในที่หรูหราสิ้นเปลืองเงินทองโดยไม่จำเป็น
3) เข้าใจความสุขแต่ไม่ควรถึงขั้นกระหาย
ความสะดวกสบายเป็นเรื่องปกติของมนุษย์แต่ไม่ควรกระหายแสวงหามันอย่างไร้เหตุผล เช่น การไปกินอาหารในร้านที่มีการปรับอากาศเป็นความสุข แต่การต้องกินอาหารเฉพาะร้านที่มีเครื่องปรับอากาศเป็นเรื่องไม่เหมาะสม
ส่วนการใช้สินค้าแบรนด์เนมหรือใช้สินค้าธรรมดาก็คือการเลือกของมนุษย์ตามปกติซึ่งทุกคนก็ต้องกระทำอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว เพียงแต่จำเป็นต้องใช้จ่ายเงินด้วยจำนวนที่แตกต่างกันมาก สินค้าแบรนด์เนมคงทนงดงามและก่อให้เกิด “ออร่า” ของการใช้ (มากน้อยบ้างแล้วแต่รสนิยมของคน บางคนสินค้าแบรนด์เนมไม่มีผลต่อความรู้สึกของเขา “ออร่า” จึงไม่เกิดในสายตาของเขา)
ประเด็นสำคัญของการซื้อสินค้าแบรนด์เนมคือการพิจารณาประโยชน์ของการใช้มากกว่าการพิจารณาว่าเป็นสินค้าแบรนด์เนม กล่าวคือ “มองให้ทะลุ” ถึงประโยชน์ของมันและราคาที่สามารถซื้อหามาใช้ให้ได้ มิได้มองว่าเมื่อเป็นแบรนด์เนมแล้วก็ต้องซื้อมาใช้ให้ได้ในทุกกรณี
คนจำนวนมากซื้อสินค้าแบรนด์เนมเพราะมีความสุขจากการได้เป็นเจ้าของ โดยมิได้คำนึงเรื่องประโยชน์ของมันเป็นเรื่องใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมิได้พิจารณาประโยชน์เมื่อเทียบกับเงินที่ใช้จ่ายไป
ถ้าพ่อแม่ตกอยู่ในสภาวการณ์เช่นนี้อยู่เสมอ คือไม่สามารถมองทะลุจนเปรียบเทียบประโยชน์และเงินที่จ่ายออกไปได้ก็น่าเป็นห่วงลูกที่จะโตขึ้นเป็นอันมาก
บทความโดย: ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ