สู้โรคด้วยรักจากครอบครัว
“ช่วงที่ครอบครัวรู้สึกแย่คือวันที่หมอบอกว่าลูกคุณจะต้องฉีดอินซูลินตลอดชีวิต คำว่า ‘ตลอดชีวิต’ ทำให้ผมรู้สึกเหมือนภูเขาถล่มใส่ ตอนนั้นผมงงมากไม่รู้จะเริ่มทำอะไรดี แต่ในที่สุดก็ปรับตัวกับวิธีการรักษาได้ แต่น้องแต๊งค์ก็เริ่มตั้งคำถามกับตัวเอง เขาคุยกับคุณแม่ก่อนนอนว่าทำไมเขาต้องเกิดมาแล้วเป็นโรคนี้ เวลาที่น้องแต๊งค์เจอเด็กๆ ที่ไม่อยากกินข้าว น้องก็จะบอกให้กินเถอะ ตัวพี่อยากกินจะแย่ แต่กินไม่ได้”
แม้จะมีช่วงเวลาที่ท้อแท้กับวิธีการประคองรักษาโรค แต่ครอบครัวก็ให้กำลังใจกันและกันอยู่เสมอ โดยเฉพาะคุณพ่อซึ่งมีอาชีพเป็นช่างศิลป์อยู่แล้ว ได้คิดหาวิธีให้กำลังใจน้องแต๊งค์กิ้วผ่านงานดีไซน์เสื้อยืดลายสวยให้กลายเป็นเสื้อทีมของครอบครัว เป็นการผนึกกำลังเพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าทุกคนจะสู้โรคร้ายไปด้วยกัน
“ผมมานั่งคิดว่าน้องแต๊งค์ต้องฉีดยาวันละ 4 เข็ม หนึ่งปีเท่ากับฉีด 1,460 เข็ม ลมหายใจของเขาขึ้นอยู่กับเข็มฉีดยาพวกนี้ ก็เลยเป็นที่มาของคำว่า “ลมหายใจที่ปลายเข็ม” คุณแม่เองก็รู้สึกว่าคำนี้โดนใจมาก ผมก็เลยดีไซน์ออกมาเป็นลายเสื้อ แล้วก็ถ่ายรูปแต๊งค์ตอนฉีดยามาใส่ไว้ในสัญลักษณ์วงกลมของวันเบาหวานโลก เสื้อตัวนี้ผมไม่ขาย แต่เราทำใส่กันเองในครอบครัว เพราะเราไม่ต้องการปกปิดคนอื่นว่าลูกเราป่วยเป็นโรคอะไร เราบอกทางโรงเรียน เราบอกเพื่อนของน้อง เราบอกคนรอบข้าง เวลาเดินทางไปไหนเมื่อถึงเวลาต้องเจาะเลือดหรือฉีดยาก็จะทำกันตรงนั้นเลย เพราะอยากให้น้องได้ใช้ชีวิตอย่างปกติ ให้เรื่องฉีดยาเจาะเลือดป็นเรื่องปกติที่เขาต้องอยู่กับมันให้ได้ไปตลอดชีวิตโดยไม่รู้สึกเป็นปมด้อย
หลายๆ คนที่รู้ข่าวจะให้กำลังใจว่าขอให้หายนะ ผมก็จะบอกเลยว่า มันไม่หาย เราต้องยอมรับความจริง กรณีที่จะหายได้คือตับอ่อนต้องกลับมาผลิตอินซูลินตามเดิม ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ คุณหมอก็บอกให้เราไม่ต้องคิดมาก การเป็นเบาหวานไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องปิดตัวเองอยู่ในมุมมืด สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ เพียงแต่เปลี่ยนพฤติกรรมการกินเท่านั้นเอง ในโลกนี้ยังมีโรคที่เด็กคนอื่นๆ เป็นและรักษาไม่ได้อีกตั้งมากมาย เด็กเหล่านั้นต้องทรมานมากกว่า แถมยังอยู่ได้แค่บนเตียงในโรงพยาบาล แต่น้องแต๊งค์ยังดำเนินชีวิตได้ตามปกติ ออกกำลังกายก็ยังได้อยู่ เพียงแต่ต้องดูแลสุขภาพมากขึ้นเท่านั้น”