3.พ่อแม่แบบบังคับ
พ่อแม่เผด็จการ เลี้ยงลูกแบบมีการเรียกร้องจากลูกสูง แต่ตามใจลูกน้อย ลูกต้องอยู่ในโอวาทไปจนโต ตั้งกฎเกณฑ์ทุกอย่าง วางกรอบให้ลูก มักตำหนิ และระเบิดอารมณ์ใส่ลูกบ่อยๆ อาจเพราะประสบการณ์ในชีวิตของตัวเองไม่สมหวังจึงมาเคี่ยวเข็ญกับลูก เวลาลูกถามก็ไม่มีคำอธิบาย นอกจากบอกว่า ก็พ่อแม่สั่งให้ทำ เพราะเด็กต้องเชื่อฟังผู้ใหญ่เท่านั้น ใส่ความคาดหวังกับลูกสูง แต่ไม่ให้ความใกล้ชิดสนิทสนม และขาดการสื่อสารที่ดี
ลูกจะกลายเป็นเด็กขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง ถึงแม้ว่าจะว่านอนสอนง่าย และผลการเรียนสูง แต่ก็ขาดทักษะการเข้าสังคม รู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่า จะพูดหรือแย้งใครก็ทำไม่ได้สักอย่าง ไร้แรงจูงใจในการลงมือทำ ขาดความคิดสร้างสรรค์ เพราะต้องทำตามผู้ใหญ่ไปทั้งชีวิต หรือในทางตรงกันข้ามอาจกลายเป็นคนก้าวร้าวไปเลย
4.พ่อแม่แบบกัลยาณมิตร
มีการเรียกร้อง และตอบสนองลูกเท่าๆ กัน มีความผูกพันใกล้ชิด เข้าใจ เข้าถึงจิตใจลูก มีการตามใจลูกอย่างสมเหตุสมผล และสามารถควบคุมลูกได้ ทำให้ลูกเติบโตมาอย่างดี
คุณพ่อ คุณแม่ ต้องสามารถพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้ ให้เกียรติ เคารพกัน มีปัญหาอะไรก็ปรึกษากันช่วยกันหาทางออก ในการเลี้ยงลูกถึงแม้ว่าจะมีความคิดเห็นขัดแย้ง ก็ไม่ควรจะทะเลาะกันต่อหน้าลูก แอบคุยกัน ตกลงกันว่าจะไม่มีใครให้ท้ายลูกลับหลัง ใกล้ชิด ผูกพัน เข้าใจ เข้าถึง ฝึกวินัย สอนให้ลูกคิดเป็น และรู้จักการใช้ชีวิตที่สมดุล โดยคุณพ่อ คุณแม่ทำตัวให้เป็นตัวอย่าง เป็นต้นแบบ
ถ้าลูกอยากเล่นคอมพิวเตอร์ ก็มีข้อตกลงร่วมกัน ถ้าพบว่าลูกไม่ทำตาม ก็ต้องตักเตือน หรือลงโทษตามกติกา ลูกจะไม่กล้าแหกกฎ และมีวินัย รู้จักอดทนอดกลั้น ช่วยงานบ้าน แบ่งเวลาเรียน เวลาเล่น ถ้าลูกต้องการของใช้ที่มีราคาแพง ก็ให้ลูกอธิบายเหตุผล ถึงความจำเป็น แล้วบอกให้ลูกช่วยทำงานบ้านให้พ่อแม่เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนสิ่งที่ต้องการ เป็นวิธีการเลี้ยงลูกแบบฝึกวินัย การช่วยเหลือตัวเอง ช่วยเหลือผู้อื่น และมีเหตุผล นอกจากลูกๆ จะไม่ติดเกมแล้ว ยังโตมาเป็นเด็กเรียนดี มีอาชีพที่ดี และคิดเป็น ทำเป็น มีความสุขอีกด้วย
ขอให้ลองหันมาดูตัวเองว่าคุณเป็นพ่อแม่แบบไหน แล้วพยายามปรับ ฟังกันด้วยสติ มีเป้าหมายร่วมกัน แล้วลูกจะเจริญเติบโตเป็นคนที่แข็งแรงทั้งร่างกาย จิตใจ และสติปัญญา
เครดิต: นิตยสารหมอชาวบ้าน ฉบับที่ 402 (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ), www.dek-d.com