หลังจากนั้น คุณพ่อ และคุณแม่ก็ไม่นิ่งนอนใจ ไปปรึกษาคุณหมอ คุณหมอก็สันนิษฐานว่าลูกชายเป็นอะไร คือ เขามีอาการซึมเศร้า แต่ยังไม่สามารถระบุได้ว่าจริงๆ คืออะไร เพราะคุณหมอจะบอกได้ดีกว่า ถ้าได้คุยกับลูกชายโดยตรง แต่ลูกไม่ยอมคุย ไม่ว่าจะเกลี้ยกล่อมอย่างไร
ตอนนี้ที่ทำได้คืออยู่กับลูก ให้เวลากับลูกให้มากที่สุด หลังจากที่คุณพ่อ คุณแม่ปรึกษากัน จึงตัดสินใจว่าจะไม่ปล่อยให้ลูกอยู่คนเดียว อยากจะอยู่กับลูกให้มากที่สุด ในสภาพจิตใจแบบนี้ คุณแม่จึงกลับมาอยู่ที่บ้านชั่วคราว เพื่อช่วยดูแลลูก
เมื่อลูกชายเป็นแบบนี้ ก็กระทบกับหลายเรื่อง ด้วยความที่เป็นลูกชายคนเดียว คุณพ่อก็เป็นห่วงลูก โดยเฉพาะเรื่องเรียน จึงตัดสินใจให้ลูกดร็อปเรียน และรอย้ายโรงเรียน ทั้งคุณพ่อ และคุณแม่ปรึกษากันว่า ในสภาพจิตใจที่ไม่ปกติแบบนี้ จะปล่อยให้ลูกชายออกไปใช้ชีวิตคนเดียวเหมือนที่ผ่านมาคงไม่ได้ คุณพ่อไม่อยากให้ลูกชายเป็นเป้าสายตา และถูกมองว่าเป็นบ้า จึงให้อยู่ในสายตาพ่อแม่ให้มากที่สุด
ตามคำแนะนำของคุณหมอ คุณหมอเตือนและย้ำว่า ลูกชายจะมีความคิดทำร้ายตัวเองอีกครั้ง หรืออาจหนักกว่า คือการฆ่าตัวตาย คุณแม่จึงเก็บของมีคมทุกอย่างทิ้ง หรือเก็บไว้ในที่ๆ ลูกชายหาไม่เจอ และคอยสังเกตพฤติกรรมลูกอยู่ตลอด แล้วพบว่าลูกมีพฤติกรรมแปลกๆ หลายอย่าง คือ เหม่อลอย ไม่สนใจคนรอบข้าง กัดเล็บแบบกัดถึงเนื้อจนเลือดออก ไม่ร่าเริงสนุกสนาน ไม่ตอบสนองคนรอบข้าง ชวนพูดคุยก็ไม่ค่อยพูด ถามคำตอบคำ อารมณ์แปรปรวน บางครั้งเหมือนเด็กปกติ แต่เมื่อเริ่มสนทนากลับก้าวร้าว ถลึงตา เอาแต่หมกมุ่นอยู่กับตัวเอง ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในห้อง ซึ่งคุณพ่อพยายามไม่ให้ลูกอยู่ แต่ก็กลัวว่าห้ามมากไป ลูกจะทำอะไรขึ้นมาอีก
อาการหนักที่สุดหลังจากที่มีการกรีดเนื้อของตัวเอง ลูกชายได้กระโดดลงมาจากหน้าต่างชั้น 2 ของห้องตัวเอง โชคดีที่ไม่ได้เป็นอะไรมาก เพราะบ้านไม่ได้สูงมากนัก คุณพ่อถามลูกชายว่า กระโดดทำไม? ลูกชายตอบว่า อยากออกไปข้างนอก เมื่อคิดได้แบบนั้นก็โล่งอกที่ไม่ใช่การฆ่าตัวตาย แต่ก็แอบกลัว คุณพ่อจึงปิดตายหน้าต่างทุกบาน หลังจากนั้นก็ไม่มีการทำร้ายตัวเองอีก มากที่สุดคือไม่ยอมกินข้าว โดยบอกว่าไม่อยากอาหาร
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่