มีชีวิต+ไม่มีชีวิต
เคลื่อนไหวคนละแบบ
ลูกวัยนี้จะมีความเข้าใจเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของสิ่งรอบตัวที่ชัดเจนขึ้น เขาพอจะเดาได้ว่าสิ่งมีชีวิตไม่จำเป็นต้องเคลื่อนไหวเป็นเส้นตรง แต่อาจจะเปลี่ยนทิศโดยไม่ต้องมีแรงภายนอกมากระทำ และรู้ว่าคนเราสามารถทำเหมือนกำลังจะเดินไปหยิบน้ำมาดื่ม แต่แล้วก็เปลี่ยนทิศและเดินไปเปิดคอมพิวเตอร์แทน
เขายังรู้ด้วยว่าสิ่งไม่มีชีวิต อย่างของเล่นจะเปลี่ยนทิศก็ต่อเมื่อมีแรงภายนอกมากระทำเท่านั้น จึงเดาได้ว่าลูกบอลที่กำลังจะกลิ้งไปชนขาโต๊ะจะต้องเปลี่ยนทิศเพราะแรงกระแทก และรถของเล่นที่กำลังพุ่งเข้าหาผนังห้องอย่างรวดเร็วจะต้องแล่นถอยหลังเพราะแรงชน
ทารกรู้ได้อย่างไร
นักวิจัยให้ทารกวัย 8 เดือนดูคลิปวิดีโอ 2 คลิป คลิปแรกจะมีคนยืนอยู่กับกล่องใบใหญ่ซึ่งกล่องขยับเข้าหาคนนั้นได้เอง และสถานการณ์บนจอก็เริ่มผิดธรรมดายิ่งขึ้น เพราะกล่องขยับหลบคนจนเลี่ยงการชนกันได้ ทารกจึงจ้องมองด้วยความงุนงงอยู่นานและคงอยากพูดกับนักวิจัยว่า “เกิดเรื่องแบบนี้ได้อย่างไรกัน กล่องที่ไม่มีชีวิตขยับเองไม่ได้หรอก และต้องขยับวนรอบตัวคนไม่ได้แน่ หนูว่ากล่องน่าจะชนคนมากกว่านะ!”
ขณะที่คลิปหลัง มีคน 2 คน คนหนึ่งเดินไปหาอีกคน จากนั้นก็เดินวนรอบตัวคนนั้นจนเลี่ยงการชนกันได้ ซึ่งทารกก็ไม่ได้มองว่าเป็นเรื่องแปลกแต่อย่างใด เพราะรู้ว่าคนเรา (สิ่งมีชีวิตที่ควบคุมการกระทำของตัวเองได้) เดินวนรอบตัวกันได้อย่างง่ายดาย แต่ถ้าคนในคลิปเดินชนกัน ทารกคงจะแปลกใจ เพราะคิดว่าสิ่งมีชีวิตน่าจะป้องกันเหตุการณ์ดังกล่าวได้ และสิ่งไม่มีชีวิตก็น่าจะกระแทกกัน ชนกันและกระเด้งออกจากกัน
รู้ไว้ได้ประโยชน์
ถึงจะยังเล็กมาก แต่ลูกวัย 8 เดือนก็สมควรที่จะได้เรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาจะได้หัดเดินและหัดวิ่งได้อย่างปลอดภัย และเมื่อโตพอที่จะไปสนามเด็กเล่น เขาก็ยังจะเจ็บตัวน้อยลงด้วย เพราะรู้ว่าคนหลบจักรยานสามล้อที่พุ่งเข้าหาได้ แต่เสาไฟฟ้าหลบไม่ได้
บทความโดย: กองบรรณาธิการนิตยสารเรียล พาเรนติ้ง