“แม้จะพูดไม่ได้ แต่ทารกก็เกิดมาพร้อมกับความสามารถในการสื่อสาร ทั้งสีหน้าและท่าทาง ถ้าเราอ่านออกว่าเบบี๋ต้องการบอกอะไร และตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว ข้อดีก็คือ เจ้าตัวเล็กรู้สึกปลอดภัยและเกิดความผูกพันกับพ่อแม่มากขึ้น”ศ.ดร.ลินดาอเครโดโล อาจารย์ด้านจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เดวิส และผู้เขียนหนังสือ Baby Signsอธิบายความอีกความน่าทึ่งของเด็กทารก
ขอเวลาให้พ่อแม่เรียนรู้กันสักหน่อย การอ่านท่าทางลูกน้อยก็ไม่ยากเกินมือคุณหรอก 11 สัญญาณคุยของเบบี๋แบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ สีหน้าและท่าทาง ฉบับนี้มาเริ่มที่ถอดรหัสสีหน้ากันก่อนเลย
อ่านสีหน้า ต้องหมั่นสังเกตกันหน่อย
1.หันหน้าหนีไม่ยอมสบตา
นี่เป็นรหัสที่ลูกน้อยกำลังส่งสัญญาณว่า “คุณอาจยังเอาใจใส่เขาไม่เพียงพอ” ดร.อเครโดโล อธิบาย”ลักษณะนี้จะชัดขึ้นเมื่อลูกอายุได้ราว2 เดือน ที่เขาไม่ยอมมองหน้าหรือสบตาคุณนั่นก็เป็นเพราะว่าไม่ได้รับการกระตุ้น พ่อแม่อาจเข้าไปสัมผัส กอด อุ้ม เล่นหรือพูดคุยกับลูกน้อยเกินไปจนทำให้ลูกสนใจเล่นนิ้วเท้าหรือนิ้วมือของตัวเองมากกว่ามองหน้าหรือสบตาพ่อแม่”
ตอบกลับแสนง่าย: เพิ่มปฏิสัมพันธ์กับเบบี๋ให้มากขึ้น แต่ไม่บังคับคือถ้าลูกเบือนหน้าหนีอย่าเพิ่งพยายามเอาหน้าตัวเองเข้าไปใกล้ๆ หรือจับลูกให้หันมาสบตาคุณให้ได้ สิ่งที่คุณควรทำคือค่อยๆเพิ่มกิจกรรมกับลูกให้มากขึ้น และอดทนรอคอยรอให้ลูกหันกลับมาสนใจเอง เช่น อุ้ม กอดและชวนพูดคุยบ่อยๆ ตอบรับเสียงอ้อแอ้ของลูก อุ้มสัมผัสลูกในขณะที่เจ้าตัวเล็กยังตื่นอยู่ เล่นของเล่นด้วยกันอย่างนุ่มนวล เป็นต้น
2. ยิ้มหวาน
“ยิ้มช่วงแรกของทารกยังเป็นปฏิกิริยาตอบกลับอัตโนมัติต่อมาเมื่อเริ่มโตขึ้นรอยยิ้มก็จะมีความหมายมากขึ้นและมีอารมณ์ต่างๆเข้าไปเกี่ยวข้องเมื่อตอนเขาอายุได้ราว6-8 สัปดาห์ “การยิ้มของทารก เป็นการบอกความพึงพอใจความรู้สึกสบายตัว อย่างลูกของฉันยิ้มแรกของเขาเกิดขึ้นตอนได้ซุกตัวอยู่ในผ้าขนหนูอุ่นๆหลังจากอาบน้ำเสร็จ”
แม้พอใจลูกก็อยากให้ตอบกลับ: เมื่อได้เห็นยิ้มแรกของลูกคุณควรยิ้มกลับทันที จะพูดสั้นๆ ด้วยก็ได้ เช่น “เก่งมากเลยลูก” หรือชวนคุยสัพเพเหระ ลูกยังไม่เข้าใจสิ่งที่คุณพูดหรอก แต่กระตุ้นพัฒนาการได้ดีเชียวละ
3. นั่นแน่!…ทำหน้าเลียนแบบแม่ด้วย
“เพราะพ่อแม่คือต้นแบบของลูก “ช่วงอายุ 3-6 เดือน ทารกส่วนมากจะเรียนรู้ที่จะเลียนแบบการแสดงออกทางสีหน้าจากผู้ใหญ่และเมื่ออายุประมาณ 9 เดือน เขาจะเริ่มแสดงออกทางสีหน้าที่ได้เรียนรู้มาแบบมีอารมณ์ต่างๆเข้ามาด้วย เช่น เวลาที่พบคนแปลกหน้าเบบี๋ส่วนใหญ่จะหันไปมองหน้าแม่ของตัวเองและถ้าเห็นว่าแม่ทำหน้าเศร้าหรือไม่มีความสุข ความวิตกกังวลของเจ้าตัวเล็กก็จะเพิ่มมากขึ้นๆ จนบางคนก็ร้องไห้แงๆ ได้”
ตอบกลับแสนง่าย: เคล็ดลับคือ เราสุขลูกสุขกว่า เราเครียดลูกเครียดกว่าดังนั้นถ้าคุณกังวล เครียดหรืออารมณ์ไม่ดี หาวิธีผ่อนคลายอารมณ์ตัวเองก่อน อย่างการหายใจเข้าออกลึกๆ หรือทำสมาธิ แม้แต่มองกระจกแล้วยิ้มให้ตัวเองก็ช่วยให้อารมณ์เย็นลงได้เหมือนกันเมื่อคุณรู้สึกดีขึ้นค่อยกลับมาหาลูกแล้วกอดหรือสัมผัสลูบหลังเบาๆเพื่อทำให้ลูกรู้สึกผ่อนคลาย” ทางที่ดีควรส่งลูกให้คนอื่นช่วยดูแลก่อน แต่ถ้าคุณอยู่กันสองคน แค่วางลูกลงในเปลหรือสถานที่ๆปลอดภัย แล้วไปสงบสติอารมณ์ตัวเองก่อนนะคะ
บทความโดย: กองบรรณาธิการนิตยสารเรียล พาเรนติ้ง