เตือนภัยเงียบ ลูกติดเฮอร์แปงไจน่า ไข้สูงจนชักกลางดึก- Amarin Baby & Kids
ลูกติดเฮอร์แปงไจน่า

เตือนภัยเงียบ ลูกติดเฮอร์แปงไจน่า ไข้สูงเฉียบพลันจนชักกลางดึก

account_circle
event
ลูกติดเฮอร์แปงไจน่า
ลูกติดเฮอร์แปงไจน่า

ลูกวัยขวบเศษร้องกรี๊ดกลางดึก ตัวชักเกร็ง น้ำลายฟูมปาก ต้องแอดมิทรพ.กลางดึก แม่แชร์ประสบการณ์ ลูกติดเฮอร์แปงไจน่า ไม่มีอาการ กินได้นอนหลับดี อยู่ๆไข้สูงเฉียบพลันจนชัก เตือนแม่ลูกเล็กอย่าประมาท ลูกป่วยไม่มีอาการรุนแรง

หลายบ้านอาจกังวลกับการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 แต่ไม่ควรละเลยโรคภัยไข้เจ็บอื่นๆ เพราะยังมี “โรคหน้าร้อน” อีกหลายโรคมาทำให้ลูกน้อยเจ็บป่วยได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะหน้าร้อนที่อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย เดี๋ยวร้อนจัด เดี๋ยวฝนตก เชื้อโรคแพร่กระจายได้ง่าย คุณพ่อคุณแม่ควรดูแลสุขภาพร่างกายของลูกน้อยอย่างใกล้ชิด เพื่อให้สังเกตเห็นอาการผิดปกติและเข้ารับการรักษาได้ทันท่วงที ไม่เช่นนั้นอาจเสี่ยงกับภาวะชักจากไข้สูงเหมือนหนูน้อยคนนี้

คุณแม่ผู้ใช้เฟสบุ๊คชื่อ จ๊ะจ๋า Darling ได้โพสต์แชร์ประสบการณ์เตือนในกลุ่มปิด “ห้องนั่งเล่นพ่อแม่” เมื่อลูกสาววัย 1 ขวบ 2 เดือน ไข้สูงจนชักกลางดึกเพราะ ลูกติดเฮอร์แปงไจน่า โดยไม่มีอาการผิดสังเกตใดๆ โดยคุณแม่เล่าเรื่องราวทั้งหมดอย่างละเอียด จึงขอยกบางช่วงบางตอนมานำเสนอดังนี้ค่ะ

ลูกติดเฮอร์แปงไจน่า

แม่ขอแชร์ประสบการณ์ลูกไข้ขึ้นสูงแบบเฉียบพลันจนชัก เพราะเฮอร์แปงไจน่า ขอเกริ่นก่อนว่าแม่เป็นพวกชอบหาข้อมูลและเตรียมความพร้อมเกี่ยวกับลูกเสมอ มียาครบทุกประเภท การปฐมพยาบาลต่างๆ แต่ก็ยังพลาดค่ะ

เมื่อวันที่2 เม.ย.ที่ผ่านมา ตลอดทั้งวัน ลูกสาววัย 1 ขวบ 2 เดือนก็เล่นปกติ อารมณ์ดี ทานข้าวได้เยอะเหมือนเดิม ตัวไม่ร้อน ไม่มีไข้ แม่พาเข้านอนตอนสามทุ่ม มีคุณพ่อนอนหลับข้างๆ ส่วนแม่ออกไปพับผ้า… จนกระทั่งห้าทุ่ม แม่ได้ยินเสียงน้องกรี๊ดดังมากเหมือนฝันร้าย คุณพ่อสะดุ้งตื่นและจับตัวน้องรู้สึกเหมือนน้องเกร็งตัวและกระตุก แม่เลยรีบวิ่งไปเปิดไฟทันที

ภาพที่เห็นทำให้แม่สติหลุดมาก น้องชักเกร็ง ตาเหลือกค้าง ปากเบี้ยว น้ำลายฟูมปาก ปากเริ่มม่วง มือเท้าซีด แม่รีบวิ่งไปอุ้มน้อง เรียกชื่อน้องดังๆ เขย่าตัวแบบคนขาดสติ แม่ไม่ได้คิดเลยว่าน้องตัวร้อนหรือมีไข้สูงจนชัก เพราะก่อนเข้านอนตัวเย็นมาก…

แม่รีบวิ่งอุ้มลูกขึ้นรถไปรพ.ภายใน 5 นาที พอถึงแผนกฉุกเฉิน วัดไข้ได้39.5 องศาเซลเซียส พยาบาลก็รีบเช็ดตัว…แม่ช่วยพยาบาลเช็ดตัวอยู่นาน 20 นาที แม่กอดน้องไว้ เรียกชื่อบ่อยๆ น้องเริ่มมองมาที่แม่ เรียกชื่อพ่อออกมา นาทีนั้นคือแม่ร้องไห้ออกมาเลยค่ะ รู้สึกโล่งใจที่สุด

ลูกติดเฮอร์แปงไจน่า

หมอให้แอดมิทดูอาการ เจาะเลือดไปตรวจและนอนให้น้ำเกลือ (ตอนนั้นได้แต่โทษตัวเองว่าทำไมเราดูแลลูกดีที่สุดแล้วแต่ก็ยังพลาด ปล่อยให้ลูกเป็นหนักขนาดนี้ได้ยังไง) เช้าอีกวันได้รับแจ้งผลเลือดว่าน้องติดเชื้อแบคทีเรียในกระแสเลือด ทำให้มีไข้ คอแดง แต่ไม่ได้ทราบว่าเป็นแบคทีเรียอะไร จากนั้นพาน้องกลับมาดูแลต่อที่บ้าน คอยระวังไม่ให้มีไข้อีก

ผ่านไป 2 วัน น้องเริ่มมีน้ำลายยืดอาการเหมือนฟันจะขึ้น เวลาให้กินข้าว น้องจะชี้ไปที่ปากและร้องเหมือนเจ็บ แทบไม่กินข้าวเลย น้ำก็ไม่ค่อยกิน อมน้ำลายอยู่ในปาก แม่ก็มั่นใจว่าคงเป็นอาการเจ็บเพราะฟันจะขึ้นปกติ จนสังเกตว่าไม่เห็นฟันโผล่ออกมา แต่มีแผลเล็กๆใต้ลิ้น

จนวันที่3 น้องเริ่มถ่ายเหลวเหมือนท้องเสีย 6 ครั้ง ทั้งๆที่ไม่กินอะไรเลย แม่กลัวน้องจะช๊อคเพราะขาดน้ำจึงพาไปหาหมอที่คลินิกเด็ก คุณหมอแบดูมือและเท้าของน้อง เอาไฟฉายส่องที่คอ เป็นอย่างที่คุณหมอคิด น้องมีแผลขนาดใหญ่ในคอหอย กว้างประมาณ 1 ซม. คุณหมอบอกว่า ลูกติดโรคเฮอร์แปงไจน่า …

สิ่งที่แม่ได้เรียนรู้จากเหตุการณ์ครั้งนี้คือ ต่อให้เราระวังมากแค่ไหน เรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้นได้เสมอ แม่ไม่เคยอ่านวิธีปฐมพยาบาลเมื่อลูกชัก เพราะคิดว่าแม่คอยระวังไม่ให้ลูกเป็นไข้อยู่แล้ว ลูกไม่มีทางไข้ขึ้นสูงจนชักได้หรอก พอลูกชักแม่จึงไปไม่เป็น …

ฝากถึงพ่อแม่ทุกท่านด้วยนะคะ โรคนี้มันน่ากลัวจริงๆ เพราะไข้สามารถขึ้นสูงแบบเฉียบพลันได้โดยไม่มีสัญญาณเตือนเลย คอยสังเกตุอาการลูกน้อย ทำความสะอาดของเล่นบ่อยๆ ขอให้เด็กๆสุขภาพแข็งแรงทุกคนนะคะ

สังเกตยังไงว่าลูกอาจเสี่ยงเป็น โรคเฮอร์แปงไจน่า

โรคเฮอร์แปงไจน่า (Herpangina) เป็นโรคที่ติดเชื้อจากไวรัสชนิดเดียวกันกับโรคมือ เท้า ปาก จึงทำให้มีอาการใกล้เคียงกัน คือมีตุ่มใสหรือแผลเล็กๆตามมือ เท้า และในช่องปาก มีไข้เฉียบพลัน (อาจมีไข้สูงจนชักได้) เจ็บปาก กลืนอาหารลำบาก  อาเจียน ท้องเสียหลายครั้ง (ต้องระวัง ภาวะขาดน้ำ) ปอดบวมน้ำ หอบเหนื่อย ซึม ชักเกร็ง หากไม่ได้รับการรักษาทันทีเสี่ยงที่จะช็อกเสียชีวิต

แต่จุดสังเกตของโรคเฮอร์แปงไจน่าที่ต่างจากโรคมือ เท้าปาก คือจะพบแผลเล็กๆเฉพาะที่ปากเท่านั้น ซึ่งมักพบแผลสีขาวขอบแดงขนาด 2-4 มิลลิเมตรบริเวณเพดานอ่อน ต่อมทอนซิล ผนังคอด้านหลัง ภายใน 2 วันหลังการติดเชื้อ และส่วนใหญ่จะหายเองใน 7 วัน มักพบในกลุ่มเด็กเล็กก่อน 5 ขวบ ติดต่อผ่านการสัมผัสสิ่งที่ปนเปื้อนน้ำมูก น้ำลาย หรือมีการไอจามใส่กัน

ลูกติดเฮอร์แปงไจน่า

ดูแลอย่างไรให้ปลอดภัยเมื่อ ลูกติดเฮอร์แปงไจน่า

จริงๆแล้วโรคเฮอร์แปงไจน่าไม่มีอาการรุนแรงหายเองได้ภายใน 7 วัน อาจทำให้คุณแม่ไม่ทันสังเกตเห็นว่าลูกติดเชื้อแล้ว ซึ่งมีโอกาสเสี่ยงที่ลูกจะมีไข้สูงเฉียบพลัน แบบไม่มีสัญญาณผิดปกติมาก่อน จนทำให้เกิดภาวะชักและภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ (พบได้น้อย) เช่น ก้านสมองอักเสบ กล้ามเนื้ออ่อนแรง และกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ

ดังนั้นเมื่อพบว่าลูกติดเฮอร์แปงไจน่า คุณแม่ต้องหมั่นดูแลใกล้ชิดและระวังไม่ให้เกิดภาวะขาดน้ำ ด้วยการ

  • หากพบว่ามีไข้ให้ยาลดไข้ตามความเหมาะสมร่วมกับเช็ดตัว

  • จิบน้ำบ่อยๆหากลูกเจ็บปาก สามารถจิบน้ำเย็นแทนได้

  • ให้กินน้ำแข็ง หรือไอศกรีมเพื่อช่วยบรรเทาความเจ็บปวด

  • ปรุงอาหารอ่อน รสจืด ย่อยง่าย เช่นพวก ข้าวต้ม ซุป เพื่อให้กลืนง่าย

  • หลีกเลี่ยงการให้กินน้ำผลไม้หรืออาหารมีรสเปรี้ยวจัดเพราะทำให้แสบแผลในปาก

ลูกชักจากไข้สูงเฉียบพลัน ต้องทำอย่างไร

ในกรณีที่ลูกไม่มีสัญญาณเตือนของโรคมาก่อนแต่มีไข้สูงเฉียบพลันจนเกิดภาวะช็อก เหมือนหนูน้อยวัยขวบเศษคนนี้ คุณพ่อคุณแม่จำเป็นต้องรู้วิธีปฐมพยาบาลที่ถูกต้อง เมื่อพบว่าเด็กกำลังชักให้รีบทำตามตามขั้นตอนดังต่อไปนี้

1.จับให้นอนตะแคง ไม่หนุนหมอน หันศีรษะไปด้านใดด้านหนึ่งเพื่อป้องกันการสำลัก

2.คลายเสื้อผ้าให้หลวม

3.ห้ามใช้ช้อนหรือวัตถุอื่นๆ หรือนิ้วมืองัดปาก และห้ามป้อนยาหรือน้ำทางปาก ในขณะที่เด็กไม่รู้สึกตัว

4.เช็ดตัวด้วยน้ำจากก๊อกประปา หรือน้ำอุ่น ไม่ควรเช็ดตัวด้วยน้ำเย็นหรือแอลกอฮอล์

5.นำเด็กส่งโรงพยาบาล หรือพบแพทย์ให้เร็วที่สุด เพื่อวินิจฉัยสาเหตุของการชัก

อาการชักจากไข้สูงมักเกี่ยวกับข้องกับพันธุกรรม เช่น เด็กที่เกิดในครอบครัวที่มีประวัติชักจากไข้จะมีโอกาสชักได้ง่าย โดยมีโอกาสเกิดชักซ้ำได้ราว 30 % วิธีป้องกันที่ดีที่สุดคือการไม่ปล่อยให้ลูกน้อยมีไข้สูง ควรเริ่มให้ยาลดไข้ตั้งแต่เริ่มมีไข้ และเช็ดตัวลดไข้ อาการชักจากไข้สูงไม่ได้ทำให้เกิดสมองพิการ ลูกน้อยมีระดับไอคิวและเรียนรู้ ทำกิจกรรมต่างๆได้เป็นปกติ

หากสังเกตดูจะพบว่า โรคติดต่อในเด็กส่วนใหญ่เกิดจากจับ สัมผัส หรือเอาเข้าปาก วิธีหนึ่งที่ปกป้องลูกให้ปลอดภัยจากเชื้อโรครอบตัวได้คือ การปลูกฝัง “ความฉลาดสุขภาพดี” หรือ HQ ให้กับลูกน้อยตั้งแต่ยังเล็ก เพื่อเป็นพื้นฐานสำคัญในการดูแลสุขภาพของตัวเองไปตลอดชีวิต  เพราะทุกวันนี้ภาวะโรคภัยต่างๆรุนแรงขึ้น หากลูกรู้จักวิธีปฏิบัติ วิธีหลบเลี่ยงจากความเสี่ยงต่างๆ ก็จะช่วยให้รอดพ้นจากภัยนี้ได้ไม่ยาก

ขอบคุณข้อมูลจาก www.phyathai.com

บทความน่าสนใจอื่นๆ 

อุทาหรณ์..แม่เตือน ล้างขวดนม ผิดวิธี เสี่ยงทำลูกติดเชื้อในกระเพราะอาหารได้

 

เช็คให้ชัวร์ ก่อน ให้ลูกกินยา การใช้ยาในเด็กต้องระวังให้ดี!

 

ลูกไม่ป่วย เป็นRSV แน่ ถ้าพ่อแม่ดูแลได้แบบนี้!

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

เรื่องที่คนอ่านมากสุด

keyboard_arrow_up