Reye’s syndrome – เป็นโรคที่พบได้ไม่บ่อยแต่หากเกิดขึ้นแล้วจะมีความเสี่ยงสูงที่สมองและตับของผู้ป่วยจะถูกทำลาย แม้ว่าโรคนี้จะพบได้ในทุกเพศทุกวัย แต่ส่วนใหญ่มักพบในเด็กโดยเฉพาะเด็กที่ติดเชื้อไวรัส เช่น อีสุกอีใสหรือไข้หวัดใหญ่ ซึ่งการใช้แอสไพรินเพื่อรักษาอาการจากการติดเชื้อดังกล่าวจะเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเรย์ กล่าวคือ ทั้งโรคอีสุกอีใสและไข้หวัดใหญ่อาจทำให้เด็กมีอาการปวดหัวได้และถ้าหากมีการใช้แอสไพรินเพื่อบรรเทาอาการปวดหัวให้แก่เด็ก เด็กอาจมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรค Reye’s ได้
Reye’s syndrome เด็กป่วยจากเชื้อไวรัส อาจเสียชีวิตได้เพราะอวัยวะล้มเหลว!
สาเหตุของโรค Reye’s syndrome
ผู้เชี่ยวชาญยังไม่สามารถระบุสาเหตุที่แน่ชัดของโรค Reye’s เนื่องจากมีหลายปัจจัยที่อาจเป็นสาเหตุ อย่างไรก็ตามมีหลักฐานที่มีน้ำหนักมากที่สุดว่าอาจเกิดจากการรักษาโรคติดเชื้อไวรัสด้วยยาแอสไพริน กล่าวคือเมื่อผู้ป่วยโดยเฉพาะเด็ก ได้รับการรักษาการติดเชื้อไวรัสด้วยแอสไพรินหากเด็กมีความผิดปกติของการเกิดออกซิเดชันของกรดไขมัน อาจเกิดความผิดปกติของการเผาผลาญชนิดหนึ่งที่ทำให้ร่างกายไม่สามารถสลายกรดไขมันได้เนื่องจากเอ็นไซม์ขาดหายไปหรือทำงานไม่ถูกต้อง ซึ่งเป็นกลุ่มของความผิดปกติทางเมตาบอลิซึมที่สืบทอดมาจากพ่อแม่ และอาจทำให้พัฒนากลายเป็นโรค Reye’s ได้ ดังนั้น หากเป็นไปได้อาจต้องมีการตรวจคัดกรองเพื่อตรวจสอบว่าเด็กมีความผิดปกติของกรดออกซิเดชันของกรดไขมันหรือไม่ นอกจากนี้ ยาที่จำหน่ายหน้าเคาน์เตอร์อื่นๆ อาจมีตัวยาซาลิไซเลต ที่คล้ายกับที่พบในแอสไพริน ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคได้ ตัวอย่างเช่น
- บิสมัท ซับซาลิไซเลต (Pepto-Bismol, Kaopectate)
- ผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำมันวินเทอร์กรีน (โดยทั่วไปเป็นยาเฉพาะที่)
ดังนั้นทางที่ดีไม่ควรให้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้แก่เด็กที่อาจมีหรือเคยติดเชื้อไวรัส และควรหลีกเลี่ยงหลังจากที่เด็กได้รับวัคซีนอีสุกอีใส นอกจากนี้ เป็นไปได้ว่าการสัมผัสกับสารเคมีบางชนิด เช่น ทินเนอร์ หรือสารกำจัดวัชพืชสามารถมีส่วนทำให้เกิดโรคเรย์ได้
ในบางกรณี อาการและสัญญาณของโรค Reye’s อาจเกิดได้จากสภาวะการเผาผลาญที่ซ่อนเร้นจากการเจ็บป่วยจากไวรัส ความผิดปกติที่พบได้บ่อยที่สุด คือ การขาดเอนไซม์ acyl-CoA dehydrogenase (MCAD) ตลอดจนการสัมผัสกับสารพิษบางชนิด เช่น ยาฆ่าแมลง สารกำจัดวัชพืช และทินเนอร์สี อาจทำให้เกิดอาการคล้ายกับอาการของ Reye’s แต่สารพิษเหล่านี้ไม่ก่อให้เกิดอาการของ Reye’s
อาการของโรค Reye’s
อาการของโรค Reye’s เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยทั่วไปจะปรากฏได้นานหลายชั่วโมง อาการแรกเริ่มเด็กมักจะอาเจียนอย่างรุนแรง ตามมาด้วยความหงุดหงิดหรือก้าวร้าว หลังจากนั้นเด็กอาจสับสนและเซื่องซึม อาจมีอาการชักหรือตกอยู่ในอาการโคม่า ปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาโรค Reye’s โดยเฉพาะ อย่างไรก็ตามบางครั้งสามารถจัดการอาการแบบฉุกเฉินต่างๆ ได้ ด้วยการให้สเตียรอยด์ช่วยลดอาการบวมในสมอง
ในกลุ่มอาการ Reye’s ระดับน้ำตาลในเลือดของเด็กมักจะลดลง ในขณะที่ระดับแอมโมเนียและความเป็นกรดในเลือดจะเพิ่มขึ้น ในขณะเดียวกัน ตับอาจบวมและเกิดการสะสมของไขมัน นอกจากนี้อาการบวมอาจเกิดขึ้นในสมอง ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการชักหรือหมดสติได้ อาการของโรคเรย์มักปรากฏขึ้นประมาณ 3-5 วันหลังจากเริ่มมีการติดเชื้อไวรัส เช่น ไข้หวัดใหญ่ หรืออีสุกอีใส หรือการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน เช่น ไข้หวัด ซึ่งอาการและอาการแสดงเบื้องต้น มีดังต่อไปนี้
สำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี สัญญาณแรกของโรค Reye อาจรวมถึง :
- ท้องเสีย
- หายใจเร็ว
สำหรับเด็กโตและวัยรุ่น อาการและอาการแสดงในระยะเริ่มแรกอาจรวมถึง :
- อาเจียนอย่างรุนแรงต่อเนื่อง
- อาการง่วงนอนหรือง่วงผิดปกติ
เมื่ออาการดำเนินไป อาการและอาการแสดงอาจรุนแรงขึ้น ได้แก่ :
- พฤติกรรมหงุดหงิด ก้าวร้าว หรือไร้เหตุผล
- สับสน มึนงง หรือประสาทหลอน
- แขนขาอ่อนแรงหรือเป็นอัมพาต
- อาการชัก
- สติและการรับรู้ลดลง
เมื่อไหร่ที่ควรไปพบแพทย์
หากผู้ป่วยมีอาการอาเจียนรุนแรงร่วมกับอาการผิดปกติทางสมอง หลังจากอาการจากโรคติดต่อเชื้อไวรัสทุเลาลง ควรส่งโรงพยาบาลด่วน การวินิจฉัยและการรักษาโรคเรย์แต่เนิ่นๆ สามารถช่วยชีวิตเด็กได้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ หากคุณสงสัยว่าลูกของคุณเป็นโรค Reye’s คุณควรดำเนินการอย่างฉุกเฉินหากบุตรของท่าน มีอาการต่อไปนี้
- มีอาการชัก
- หมดสติ
ติดต่อแพทย์หากบุตรของท่านประสบกับอาการต่อไปนี้ หลังจากเป็นไข้หวัดหรืออีสุกอีใส:
- อาเจียนซ้ำๆ
- ง่วงนอนหรือเซื่องซึมผิดปกติ
- มีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอย่างกะทันหัน
อ่านต่อ…Reye’s syndrome เด็กป่วยจากเชื้อไวรัส อาจเสียชีวิตได้เพราะอวัยวะล้มเหลว! คลิกหน้า 2
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่