โลกใบนี้เปลี่ยนแปลงไปมากและมีแนวโน้มที่มากขึ้นเรื่อยๆ ภาวะโลกร้อนเป็นเรื่องหนึ่ง รวมถึงข่าวล่าสุดที่ไฟป่าอะเมซอนซึ่งเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นประจำ แต่มีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เทคโนโลยีอันทันสมัยต่างๆ ที่อำนวยความสะดวกให้มนุษย์และสร้างให้โลกใบนี้พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ก็ต้องใช้พลังงานอันมหาศาล จริงอยู่ที่เราเห็นว่ามีการพัฒนาพลังงานสีเขียวหรือพลังงานสะอาดมากขึ้น แต่นั่นคือการลดการทำลายให้ช้าลงไม่ใช่การสร้างให้โลกกลับมาดีเหมือนเดิม ปัญหาเหล่านี้ไม่ได้ไกลตัวเราเลย และการแก้ปัญหาเหล่านี้ก็อยู่รอบตัวเราเช่นกัน เราสามารถจะช่วยรักษาโลกใบนี้ได้ โดยไม่ต้องลงทุนอะไร นอกจากการปรับตัวในการใช้ชีวิต หรือ ผมกำลังจะพูดถึงการเป็น active citizen
คำว่า active citizen หมายถึง การเป็นพลเมืองที่ดี มีจิตอาสา ไม่นิ่งดูดายต่อปัญหา และมีสำนึกรับผิดชอบต่อสังคม ถึงเวลาที่เราต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมกันแล้ว ไม่ใช่แค่ของตัวเราแต่ต้องสอนลูกเราด้วย เพราะในวันที่เขาโตขึ้นเขาต้องอยู่กับโลกใบที่ไม่เหมือนเดิม และถ้าเราได้เดินทางไปต่างประเทศ เราจะเห็นว่าในประเทศที่พัฒนาแล้วหลายๆ ประเทศเขาใช้ชีวิตแบบ active citizen มาหลายปีแล้ว วันนี้ อยากมาชวนให้ทุกคนเปลี่ยนแปลงตนเอง เป็น active citizen เป็นพลเมืองของโลก ลองมาดูกันว่าควรเริ่มทำอย่างไร
เริ่มง่ายๆ จากตัวเรา สู่ครอบครัว เพื่อน ชุมชน และสังคม ครอบครัวเราเองก็ได้เรียนรู้การเป็น active citizen จากโรงเรียนที่ลูกๆเรียนอยู่ รวมไปถึงการเข้าไปทำกิจกรรมที่เขาใหญ่บ่อยๆ กับเบิกบานบุรีจนมีกลุ่มครอบครัวกลุ่มเล็กๆ ที่เลี้ยงลูกในแนวนี้และมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ขอเล่าว่าแต่ละที่ให้อะไรเราบ้าง และเรานำมาใช้กันได้จริงๆ
มาดูตัวอย่างการเป็น active citizen กันฮะ
โรงเรียนของน้องปั้นแป้ง ไม่มีการใช้ถุงพลาสติกเลยในทุกกิจกรรม ดังนั้น เราเป็นผู้ปกครองเวลาจะจัดอะไรไปโรงเรียนก็จะใส่ถุงผ้าไป และที่โรงเรียนมีโรงแยกขยะที่ละเอียดมาก ทั้งหมดจะมีรถที่มารับไปรีไซเคิลหรือเอาไปใช้ประโยชน์ได้หมด เช่น เป็นเชื้อเพลิงในโรงงาน หรืออย่างกล่องนมก็นำไปผลิตโต๊ะ เก้าอี้ ส่วนรถขยะเข้าไปที่โรงเรียนน้อยกว่าเดือนละครั้ง
ร้านขายอาหารและขนม และตลาดเช้าในโรงเรียนก็จะไม่มีการใช้ถุงพลาสติก หรือกล่องโฟมให้ ต้องเตรียมกล่องพลาสติก ปิ่นโต กระติกน้ำมาเอง ขนมหรืออาหารบางประเภทจะใช้ใบตองห่อ เช่น ข้าวเหนียวหมู ขนมไทย หรือกระทั่งกล้วยเชื่อมทั้งหลายจะถูกจัดวางในกระทงใบตอง ถ้าทานที่โรงเรียนจะทานในภาชนะที่เขาจัดไว้และต้องล้างตากเอง แต่ถ้าจะซื้อกลับบ้านก็ต้องใส่ภาชนะที่เอามาเองเท่านั้น จะซื้อน้ำก็มีให้เลือกดื่มในขวดแล้วไปล้างมาเก็บหรือจะเทใส่กระติกออกไป ส่วนนมขวดก็มีขายนะ แต่ไม่มีหลอดให้ ดื่มเสร็จล้างขวด แยกฟอยล์ แล้วคว่ำไว้ที่สถานีรีไซเคิล
โรงเรียนของพี่ปูนปั้น สอนให้เด็กรู้คุณค่าของขยะที่เรามองข้ามไป และการจัดการต่อสิ่งเหล่านี้ โดย จะมีวันขายทรัพยากรของแต่ละชั้นปีที่เด็กๆ จะขนขยะรีไซเคิลที่แยกและสะสมไว้ที่บ้านมาขายที่โรงเรียน โดยมีการจัดตั้งธนาคารเพื่อเปิดบัญชีให้เด็กฝากเงินที่ได้จากการขายขยะไว้ด้วย เป็นการปลูกจิตสำนึกที่เกื้อกูลต่อธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมด้วยการใช้ทรัพยากรอย่างพอเพียง ลดการเบียดเบียนโลก
ที่โรงเรียนจะมีขายขนม อาหาร (ที่มีประโยชน์) เฉพาะตอนเย็น ไม่มีขนมห่อลูกกวาดให้กินเหมือนที่อื่น และถ้าจะซื้อขนมที่ขายในตอนเย็น ก็ต้องนำกล่องมาใส่เอง ไม่มีอะไรใส่ให้ ถ้าวันไหนเด็กๆ ลืมกล่อง ก็อดขนมไป ทำให้ปูนปั้นละเอียดและรอบคอบ เช็คกระเป๋าก่อนไปโรงเรียนทุกวัน และอาหารหรือขนมก็เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ล้วนๆ คนขายคือ คุณพ่อคุณแม่จิตอาสาที่ส่วนใหญ่ก็คือเจ้าของกิจการที่ทำอาหารและขนมเหล่านั้นเป็นธุรกิจ
สิ่งแวดล้อมในโรงเรียนก็เอื้อให้เด็กซึมซับกับเรื่องเหล่านี้ เช่น มีศาลาที่ไว้ล้างมือและแยกขยะพวกพลาสติกเมื่อทานเสร็จด้วย เช่นขวดนม และทางโรงเรียนก็จัดให้มีจัดกิจกรรมเก็บขยะในชุมชนเสมอ
เบิกบานบุรี เป็นสถานที่พักผ่อนและจัดกิจกรรมสำหรับครอบครัว เน้นการเกื้อกูลธรรมชาติและชุมชน เช่นเดียวกับที่โรงเรียนลูกๆ ที่นี่ไม่มีการใช้ถุงและขวดพลาสติก อาหารใส่ห่อใบตอง ใส่ปิ่นโต ทานอาหารกันด้วยช้อนกลาง เพราะถ้าเหลือ จะนำไปเทรวมและแจกจ่ายชาวบ้านแถวนั้น ทานเสร็จเก็บเองล้างเอง บางทีอาหารเราก็ทำกันเองด้วยนะเออ
ก่อนทานอาหารจะมีบทพิจารณาอาหาร ที่ทำให้เรามีสติก่อนจะลงมือตักอาหาร และทุกๆ กิจกรรมที่นี่จะสอนเด็กๆ ให้ดูแลธรรมชาติ ไม่เบียดเบียนโลกนี้ ให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ธรรมชาติ ต้นไม้ แมลง และสิ่งมีชีวิตต่างๆ ในเบิกบานบุรี
รวมทั้งมีกิจกรรมนนอกสถานที่ในเชิงอนุรักษ์ เช่น การเดินป่าเขาใหญ่และการไปปลูกป่าที่ภูหลง วัดป่ามหาวัน เป็นต้น
ซึ่งทั้งหมดก็ได้ทำให้ครอบครัวเรา มาปรับใช้ พยายามลดละเลิกกันมาพักใหญ่ๆ แล้ว ไม่ว่าจะเป็น ใช้ถุงผ้าสำหรับใส่ทั้งของใช้เสื้อผ้า และของในซุปเปอร์มาร์เก็ต (โดยเก็บถุงผ้าไว้หลังรถพร้อมใช้ทุกเมื่อ) บางทีถ้าลืมเอาไปแล้วซื้อของไม่เยอะ ก็จะใส่กระเป๋าสะพาย
พ่อแม่ลูกจะมี กล่องอาหาร แก้วน้ำ และหลอดส่วนตัว เวลาไปโรงเรียนก็จะเห็นเด็กทั้ง 2 คนพะรุงพะรัง เป็นปกติ เราเปลี่ยนมาใช้กล่องอาหารเวลาซื้อกับข้าว อยู่บ้านก็ให้เด็กๆ พยายามแยกขยะแบบง่ายๆ ไม่ซับซ้อน เดี๋ยวนี้เราใช้หลอดสแตนเลสกับแก้วน้ำส่วนตัว แต่ถ้าเวลาไปซื้อน้ำดื่มข้างนอกลูกๆ จะคอยเตือนไม่ให้รับหลอดจนเราก็คุ้นชินไปซะแล้ว ดังนั้น หากเห็นเราหอบทั้งกระเป๋าสะพาย กระเป๋าโน้ตบุ๊ค กระเป๋าใส่กล่องกับข้าว และกระติกน้ำก็โปรดเข้าใจ เราอยากใส่ใจโลกนี้เพื่อคนรุ่นลูกรุ่นหลาน
อ่านมาถึงขนาดนี้แล้วแปลว่าคุณพ่อคุณแม่ต้องสนใจบ้างหละ อย่าคิดมากครับ ทำเลย
ปล. มีหนังสือนิทานแนะนำที่เด็กๆบ้านนี้อ่านและได้ใช้เตือนสติทุกครั้ง คือ นิทานของสานอักษร ชุด “ใครหนอใครกัน” จะมี 3 เล่ม คือ ใครหนอใครกัน..ทำบ้านฉันละลาย, ใครหนอใครกัน.. ทำบ้านฉันเลอะ และ คือ ใครหนอใครกัน..ทำบ้านฉันหาย เวลาปั้นแป้งจะฉีกทิชชู่เยอะ เราก็จะสอนว่าทำแบบนี้ บ้านพี่หมีละลายหมดแน่เลย ปั้นแป้งก็จะหยุดทันที (สติมา)
>>แวะไปดู รอยยิ้มหวานฉ่ำ ที่มีแจกฟรีทุกวันได้ที่เฟซบุ๊ค
หมุนรอบลูก – พี่ปูนปั้น กับ น้องปั้นแป้ง นะครับ<<
บทความน่าสนใจอื่นๆ
แชร์เทคนิค”สอนลูกให้รู้จักรับผิดชอบ”ตั้งแต่เด็ก
“ลูกทำผิด” เทคนิคสอนลูก แบบไม่ต้อง “ทำโทษ”
แนะนำ 4 “บอร์ดเกม” ฝึกลูกสมองไว ไหวพริบดี
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่