คุณพ่อคุณแม่อาจตั้งความหวังไว้ว่า ถ้ามีลูก เราจะเลี้ยงลูกให้ดี ลูกเราจะต้องเป็นคนดี คนเก่ง จะได้มีอนาคตที่ดีดูแลตัวเองได้ เมื่อพ่อแม่ไม่อยู่ ลูกจะได้ไม่ลำบาก แต่ถ้าลูกเรียนไม่เก่งล่ะ จะมีอนาคตที่ดีได้หรือเปล่า เราในฐานะพ่อแม่จะมี วิธีเลี้ยงลูก อย่างไร ให้มีอนาคตที่ดีได้แม้ เรียนไม่เก่ง
ดังข่าวดราม่าสนั่นโซเชียล ชาวเน็ตแฉ ครูโพสต์ประจานผลสอบวิชาคณิตศาสตร์โดยนักเรียน ได้ 2 เต็ม 10 พร้อมติดแคปชั่นว่า “อย่าลืมกินข้าวเช้านะคะ เดี๋ยวโง่”
และไม่ได้มีแค่ครูคนนี้คนเดียว แต่ยังมีครูสอนวิทยาศาสตร์ในโรงเรียนเดียวกัน ก็ได้โพสต์กระดาษคำตอบที่นักเรียนได้คะแนนเพียง 2 เต็ม 10 เช่นกัน โดยตั้งแคปชั่นว่า “อย่าบอกว่าข้อสอบยาก แต่ให้บอกว่า กูมันโง่ 2/2-2/3”
เห็นแบบนี้เลยทำเอาชาวเน็ตวิพากษ์วิจารณ์กันสนั่นว่า ไม่ควรนำลูกศิษย์ตนเองมาประจานว่า “โง่” แต่คุณครูควรลองพิจารณาตนเองก่อนว่าสอนยังไง เด็กถึงทำข้อสอบไม่ได้ ซึ่งเราจะไม่ขอวิพากษ์วิจารณ์คุณครูในประเด็นนี้ แต่จะชวนคุณพ่อคุณแม่คิดว่า ถ้าลูกเราเรียนไม่เก่ง ได้คะแนนไม่ดีแบบนี้ เราจะโอเคหรือเปล่า? และเราควรจะทำอย่างไรกับลูกของเราดี?
วิธีเลี้ยงลูก ให้มีอนาคตดี แม้ “ลูกเรียนไม่เก่ง”
สำหรับในมุมมองของคนเป็นพ่อเป็นแม่นั้น ถ้าลูกของเราเรียนไม่เก่ง ทำข้อสอบไม่ได้ คะแนนสอบไม่ดีเอาซะเลยแบบนี้ คุณแม่จะทำอย่างไรคะ? ต่อว่าลูก? พาไปติวเพิ่ม? เพื่อหวังจะให้ลูกมีผลการเรียนที่ดีขึ้น จะได้สอบเข้าโรงเรียนดังๆ มหาวิทยาลัยดีๆ ได้ทำงานดีๆ มีอนาคตที่ดี ใช่หรือเปล่า
ทีมแม่ ABK อยากให้คุณแม่ได้ลองอ่านบทความของคุณหมอประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ชิ้นหนึ่ง ท่านเคยได้ฝากข้อคิดให้คุณพ่อคุณแม่ลองทบทวนว่า อยากให้ลูกเรียนเก่งไปทำไม?…ให้ลูกเรียนอย่างมีความสุขดีกว่า
คุณหมอบอกว่า การที่ลูกเรียนไม่เก่งแต่มีคุณพ่อคุณแม่ที่เข้าใจ เมื่อเติบโตไปอนาคตเขาจะดีกว่า เด็กที่เรียนเก่งแต่ไม่มีความสุข เพราะอะไรนั้น คำตอบอยู่ที่นี่แล้วค่ะ
“ลูกเรียนไม่เก่ง …แล้วไงครับ” โดย นพ. ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์
ทบทวนอีกครั้ง อยากให้ลูกเรียนเก่ง ไปทำไมกัน ฟังข้อดี ข้อเสีย ก่อนจะเล่นบทพ่อแม่หลงทาง เมื่อลูกเรียนไม่เก่ง แล้วไงล่ะครับ ? ก่อนจะอ่านต่อไป พวกเรามาทบทวนกันก่อนว่า อยากให้ลูกเรียนเก่งไปทำอะไร
.
เพื่อเขาจะได้เอนทรานซ์ได้ ถ้าตอบข้อนี้ให้เวียนไปอ่านบรรทัดแรกอีกทีนะครับ พูดเล่น ๆ เอนทรานซ์ได้สมัยนี้ไม่ได้ให้หลักประกันเลยว่าจะไม่ตกงาน จะไม่ใช้ยาเสพติด จะไม่ติดเชื้อเอดส์ จะไม่ตั้งครรภ์ก่อนวัย จะไม่ทำแท้ง จะไม่พนันบอล และอื่น ๆ
.
เพื่อให้เขามีอาชีพมั่นคง ไม่จริงหรอกครับ เรียนเก่งแล้วไม่มีงานทำมีเยอะขึ้นเรื่อย ๆ มีงานทำแล้วประคองงานไว้ไม่ได้ก็มีเยอะ ประคองงานไว้ได้แล้วไม่มีความสุขก็มีอีกเยอะ มีเงินเยอะ แต่ไม่มีความสุขยิ่งเยอะใหญ่
.
ยกตัวอย่างอาชีพแพทย์ แพทย์สมัยนี้ตกงานทันทีหลังเรียนจบนะครับ ไม่ได้บรรจุเข้ารับราชการ และไม่รู้อนาคต ประกอบวิชาชีพไปถูกฟ้องไปก็เยอะ สังคมก็คาดหวังสูงขึ้น ต้องเคารพสิทธิผู้ป่วย ต้องแจ้งป้ายราคา ต้องไปชันสูตรพลิกศพ และอื่นๆ
.
แทนที่จะเรียนเก่ง น่าจะเรียนให้มี”ความสุข”มากกว่า
การเรียนให้มีความสุขมีประโยชน์ดังนี้คือ ทำให้เด็กรักตนเอง ภาคภูมิใจในตนเอง เชื่อมั่นในตนเอง เมื่อเป็นเด็กเล็กก็ดูแลตนเองได้ เมื่อเป็นเด็กโตก็วิ่งไปซื้อของหน้าปากซอยได้ เมื่อเป็นวัยรุ่นก็กล้าแสดงออกในทางที่เหมาะสม เมื่อเป็นผู้ใหญ่ก็รู้จักหาทางเลือกของชีวิต รู้ทีหนีทีไล่ รู้รุก รู้รับ รู้ชนะ รู้แพ้ รู้สู้รู้ถอย และไม่ฆ่าตัวตาย ดีกว่าเรียนเก่งตั้งมากมาย
.
คิดให้ดี ๆ นะครับ ว่ากว่าจะถึงเวลาที่ลูกโตเป็นผู้ใหญ่ พวกเราซึ่งเป็นพ่อแม่หากไม่แก่ หรือหงำเหงือกก็ตายไปแล้ว อยู่บนสวรรค์มองลงมาเห็นลูกใช้ชีวิตแบบหลังย่อมดีกว่าแบบแรกแน่นอน ยังไม่นับว่าสังคมในอนาคตจะเสื่อมทรามไปถึงไหนก็ยังไม่รู้
.
บางคนอยากให้ลูกเรียนเก่งไว้ก่อน เพราะกลัวลูกจะไม่มีเงินใช้ เรียกว่าผูกเรื่องข้ามช็อต เอาการเรียนเก่งไปเชื่อมโยงกับการมีเงินใช้
.
ไม่จำเป็นต้องห่วงเรื่องลูกไม่มีเงินใช้ในอนาคต รัฐไทยจะจัดระบบประกันสังคมได้เด็ด ๆ ไม่แพ้อย่างที่เห็นในหนังฝรั่งแน่นอน แต่ถ้าเกิดไม่มีระบบประกันสังคมที่ดีพอ งั้นคิดให้ดีอีกทีว่า รัฐที่ไม่มีสวัสดิการสำหรับประชาชนทุกระดับนั้น คนรวยกับคนจนใครจะมากกว่ากัน คนที่เข้าถึงทรัพยากรกับคนที่ถูกกีดกันจากทรัพยากรใครจะมากกว่ากัน
.
แน่ใจหรือว่าอยากให้ลูกเราเป็นพวกชนกลุ่มน้อย ตอนนี้ใครไม่ฮากรุณาพาลูกและครอบครัวอพยพไปอยู่ต่างประเทศนะครับ เอาใหม่ แทนที่ผมจะพยายามชี้ชวนว่าการเรียนไม่เก่ง ไม่มีประโยชน์อะไรในอนาคตแล้ว ผมจะอธิบายให้ฟังถึงข้อดีของการเรียนไม่เก่งดีกว่า
.
ก่อนอื่นมานิยามคำว่า เก่งก่อน เก่งในที่นี้หมายถึง ทำคะแนนได้สูงในระบบการศึกษาที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน แต่เด็กอาจจะไม่ได้ทำหน้าที่ทางจิตวิทยาของแต่ละวัยได้ครบถ้วนหรือพอเพียง
.
ในทางตรงกันข้าม เด็กเรียนไม่เก่งแต่มีคุณพ่อคุณแม่ที่เข้าใจเรื่องหน้าที่ทางจิตวิทยาประจำวัย ของเด็กมากพอ ก็จะได้ลูกซึ่งเป็นเด็กเรียนไม่เก่งที่มีความสุข รักตนเอง ภูมิใจในตนเอง เชื่อมั่นในตนเอง และพร้อมที่จะเติบโตเป็นตัวของตัวเองต่อไปในอนาคตเมื่อพ่อแม่ตายแล้ว
.
เพราะเด็กที่เรียนไม่เก่ง แต่คุณพ่อคุณแม่เข้าใจไม่เคี่ยวเข็ญจนเกินไป มักมีเวลาว่างจากการทำการบ้าน การท่องหนังสือหรือการเรียนพิเศษมากกว่า เวลาเหล่านั้นคือ กำไรทางจิตวิทยาที่ได้มาโดยไม่รู้ตัว
.
กำไรได้อย่างไร ลองอ่านต่อ เด็กเล็กและเด็กโตมีงานสำคัญที่ต้องทำอยู่คนละเรื่องเดียวเท่านั้น เด็กเล็กต้องพัฒนากล้ามเนื้อนิ้วมือทั้งสิบให้แข็งแรง และสามารถใช้ทำงานที่อาศัย ความละเอียดในอนาคตได้ เด็กโตต้องพัฒนาทักษะในการเข้าสังคม เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันกับผู้อื่น ทะเลาะกันได้ก็ต้องดีกันได้ ต่อยกันไปแล้วก็ต้องอภัยกันได้
.
หากเด็กเล็กใช้นิ้วมือได้คล่องแคล่ว เขาไม่เพียงมีความสามารถทำงานอะไรก็ได้ในอนาคต แต่เขายังมีความรักตนเอง ภาคภูมิใจตนเอง เชื่อมั่นในตนเองที่สอบผ่านจิตวิทยาประจำวัยมาได้
.
หากเด็กโตเข้าสังคมได้ทุกรูปแบบ เขาไม่เพียงมีความสามารถหางานอะไรก็ได้ และปรับตัวเข้ากับงานหรือครอบครัวแบบไหนก็ได้ แต่เขายังมีความรักตนเอง ภาคภูมิใจตนเอง เชื่อมั่นในตนเองที่สอบผ่านจิตวิทยาประจำวัยมาได้เช่นเดียวกัน
.
ความรักตนเองเป็นภูมิคุ้มกันต่อสิ่งเลวร้ายต่าง ๆ ในสังคมที่จะมาแผ้วพานชีวิตของเขาในอนาคต นี่คือหนึ่งในคำอธิบายว่า เพราะอะไรคนที่รู้ว่าสูบบุหรี่ไม่ดีก็ยังจะสูบ เสพยาบ้าไม่ดีก็ยังจะเสพ เที่ยวหญิงบริการเสี่ยงติดเชื้อเอดส์ ก็ยังจะไป เพราะพวกเขาไม่รักตนเอง ให้สืบกันจริง ๆ คงพบคามบกพร่องทางจิตวิทยาในวัยเด็กเล็กเด็กโตนี่แหละ
.
พวกเรามักคิดว่า งานหลักของเด็กเล็กคือคัดไทย งานหลักของเด็กโตคือบวกเลข ทำให้เราหลงทาง เสียเวลา และคาดหวังลูกในทางที่ไม่ถูกไม่ควรกันค่อนประเทศ เมื่อลูกไม่ได้ดั่งใจก็คาดหวังสูงยิ่งขึ้นอีก เด็กจึงไม่รักตนเอง เกลียดตนเอง ไม่ภูมิใจในตนเอง และขาดภูมิคุ้มกันไปในที่สุด
.
อย่าเป็นเลยครับ เด็กเรียนเก่งแต่สุขภาพจิตไม่ดี
และไม่มีหลักประกันอะไรว่าจะร่ำรวยในอนาคต เป็นเด็กธรรมดา เรียนเต็มความสามารถของเขา ได้เล่นและทำงานกลุ่มอย่างเหมาะสม เติบโตเป็นคนที่เอาตัวรอดได้ในยามคับขันทุกสถานการณ์
“ถามตนเองอีกครั้งสิครับ ว่าอยากได้ลูกแบบไหน”
คุณพ่อคุณแม่ที่อ่านมาถึงตรงนี้ คงตัดสินใจได้แล้วว่า อยากได้ลูกแบบไหน เพราะพ่อแม่ทุกคนล้วนแต่อยากเลี้ยงลูกให้ดีที่สุด เป็นพ่อแม่ให้ดีที่สุด พ่อแม่ที่ดีไม่จำเป็นต้องเก่งไปเสียทุกเรื่อง เราต่างมีจุดอ่อน ข้อเสียในตัวเอง ลูกของเราก็เหมือนกัน เขาอาจจะมีจุดอ่อนในเรื่องการเรียน แต่เชื่อเหลือเกินว่า ทุกคนล้วนมีข้อดี และจุดแข็งของตัวเอง เพียงแต่ยังหามันไม่เจอเท่านั้น และคุณพ่อคุณแม่นี่เองที่มีบทบาทสำคัญที่จะช่วยลูกค้นหาสิ่งที่ลูกทำได้ดีและมีความสุข และส่งเสริมในสิ่งๆ นั้นต่อไป
ขอขอบคุณที่มา: นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์
ที่มาข่าวและรูปภาพ : AmarinTV
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่
อ่านต่อบทความดีๆ คลิก