การอ่านนิทานก่อนนอน มีประโยชน์กว่าที่คิด!! รวม นิทานอีสป นิทานสอนใจ สั้น ๆ พร้อมข้อคิดดี ๆ ไว้ให้คุณพ่อคุณแม่ได้อ่านให้ลูกฟังก่อนนอน สอนให้เป็นเด็กดี มีคุณธรรม!!
10 นิทานสอนใจ!! พร้อมข้อคิดดี ๆ อ่านให้ลูกฟังก่อนนอน
ช่วงเวลาก่อนนอน มักจะเป็นช่วงที่คุณพ่อคุณแม่และลูก ๆ ใช้เวลาร่วมกัน กิจกรรมที่ทำร่วมกันก็มีทั้ง เล่นเกมด้วยกัน พูดคุยกัน และกิจกรรมที่พลาดไม่ได้ก็คือการอ่านนิทานให้ลูกฟังก่อนนอน ซึ่งคุณพ่อคุณแม่จะสามารถสั่งสอน อบรมลูก โดยที่ลูกไม่รู้สึกเหมือนถูกสอน แต่ลูกกลับจะได้ความสุข ความสนุกสนาน แถมยังสัมผัสได้ถึงความรักของคุณพ่อคุณแม่ผ่านกิจกรรมการอ่านนิทานก่อนนอนนี้ นอกจากความสนุกสนานและการเสริมสร้างจินตนาการให้ลูกน้อยแล้ว การเล่านิทาน ยังมีประโยชน์อีก 9 ประการด้วยกัน ดังนี้
- เสริมปัญญาเด็ก นิทานจะช่วยให้เด็กฉลาดทั้งทางปัญญา (IQ) และฉลาดทางอารมณ์ (EQ)
- ทำให้เด็กช่างคิด ช่างถาม ช่างสังเกต
- เรียนรู้ภาษา มีทัศนคติที่ดีต่อการเรียนภาษา
- ฝึกจับประเด็น การเล่าซ้ำจะทำให้เด็กจำได้ทั้งเรื่อง มองภาพรวมเข้าใจเรื่องได้เร็ว
- ฝึกสมาธิ การตั้งใจฟังนิทาน เป็นการฝึกสมาธิให้เด็ก
- จินตนาการ การฟังนิทานเป็นการเสริมสร้างจินตนาการ
- คุณธรรม ได้รับการปลูกฝังคุณธรรมตั้งแต่เด็ก จากเนื้อหาในนิทาน
- รักการอ่าน การอ่านนิทานให้ฟังบ่อย ๆ ช่วยปลูกฝังให้เด็กมีนิสัยรักการอ่าน
- ความสุข บรรยากาศการเล่านิทานเป็นความสุขในครอบครัว เป็นกิจกรรมที่พ่อแม่สามารถเตรียมความพร้อมให้แก่เด็ก ก่อนเปิดภาคเรียน ซึ่งเป็นวิธีการที่ง่ายและสามารถทำได้ทุกวันโดยเฉพาะก่อนนอน
ประโยชน์ของนิทานมีมากมายขนาดนี้ มาอ่านนิทานให้ลูกก่อนนอนกันเถอะ ทีมแม่ ABK ขอคัดสรร 10 นิทานสอนใจ มาให้แม่ ๆ ได้เลือกให้ลูกอ่านกันค่ะ
ลากับเงา
นักเดินทางจ้างลาตัวหนึ่งให้แบกตัวเขาไปยังชนบทอันห่างไกล เจ้าของลาติดตามนักเดินทางไปด้วยโดยเดินอยู่ข้างๆ นักเดินทางเพื่อจูงลาแบะนำทาง
ถนนสายนั้นทอดข้ามที่ราบซึ่งไม่มีต้นไม้เลยสักต้น แสงแดดจัดจ้าสาดส่องลงมาอย่างร้อนแรง ความร้อนทวีขึ้นจนในที่สุดนักเดินทางตัดสินใจที่จะหยุดพัก และเนื่องจากแถวนั้นไม่มีร่มเงาอื่นเลย นักเดินทางจึงนั่งหลบอยู่ใต้เงาของเจ้าลา
ความร้อนก็มีผลกับคนจูงลาไม่แพ้นักเดินทางเช่นกัน อีกทั้งยังย่ำแย่กว่าเนื่องจากเขาเดินด้วยเท้ามาตลอดทาง เขาเองก็อยากจะพักใต้เงาของลา เขาจึงเริ่มเถียงกับนักเดินทาง โดยบอกว่านักเดินทางจ่ายค่าจ้างเฉพาะลาเท่านั้น ไม่ได้รวมถึงเงาของมัน
ไม่ช้าทั้งสองก็แลกหมัดกัน และในระหว่างที่พวกเขากำลังต่อสู้กันอยู่นั้น เจ้าลาก็เดินหนีไป
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
การถกเถียงกันเรื่องเงา ก็มักสูญเสียสิ่งที่จับต้องได้ไปในที่สุด
หมาป่ากับสิงโต
หมาป่าตัวหนึ่งขโมยลูกแกะมาได้ตัวหนึ่ง และแบกไปยังถ้ำเพื่อจัดการเป็นอาหาร แต่แผนการของมันต้องเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อมันเผชิญกับหน้าสิงโต ซึ่งชิงลูกแกะไปโดยไม่เอ่ยขอโทษสักคำ
หมาป่าถอยห่างไปอยู่ในระยะปลอดภัย และกล่าวด้วยน้ำเสียงเจ็บปวดว่า
“ท่านไม่มีสิทธิมาแย่งชิงของๆ ข้าไปอย่างนั้นนะ”
สิงโตหันหลับมา แต่เจ้าหมาป่าอยู่ไกลเกินกว่าสิงโตจะสอนบทเรียนให้โดยไม่ต้องเปลืองแรง มันจึงกล่าวว่า
“ของๆ เจ้างั้นหรือ เจ้าซื้อมา หรือคนเลี้ยงแกะให้เจ้ามาเป็นของขวัญล่ะ เจ้าได้มันมาอย่างไรหรือ ไหนช่วยบอกข้าทีสิ”
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
โกงเขามาอย่างไร ก็โดนโกงกลับไปอย่างนั้น
กระต่ายกับไก่ป่า
ณ ป่าแห่งหนึ่ง กระต่ายกับไก่ป่าอาศัยอยู่ใกล้กัน วันหนึ่งกระต่ายออกไปหากินตามปกติแต่โชคร้ายโดนเหยี่ยวตามล่า มันหนีแบบไม่คิดชีวิตและรอดพ้นกรงเล็บเหยี่ยวไปได้แบบหวุดหวิด มันจึงหลบซ่อนตัวอยู่ใต้ต้นไม้อย่างเหนื่อยล้า ตามลำตัวเต็มไปด้วยบาดแผล ไก่ป่าผ่านมาเห็นเข้าจึงพูดจาเยาะเย้ย “ยอดนักวิ่งเท้าไวเอ๋ย เจ้าวิ่งได้เร็วกว่าใคร ๆ แต่ทำไมเอาชีวิตไม่รอดแบบนี้เล่า”
กระต่ายตอบไปว่า “ถ้าวันหนึ่งเจ้าถูกเหยี่ยวไล่ล่าดูบ้าง เจ้าก็จะรู้” ไก่ป่าได้ยินดังนั้นก็หุบปากทันที เพราะรู้ตัวว่าถึงตนจะมีปีกแข็งแรงขนาดไหน ก็ไม่สามารถหนีพ้นจากกรงเล็บเหยี่ยวได้เช่นกัน
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
ก่อนจะเยาะเย้ยผู้อื่น ควรนึกถึงใจเขาใจเราเสียก่อน
ฉันอยากเป็นฉัน
ลาป่าเห็นลาบ้านจึงเดินเข้าไปหาลาตัวนั้น และรู้สึกอิจฉาที่ลาบ้านนั้นมีขนที่สวยงาม เรียบเป็นมัน และอ้วนสมบูรณ์ได้สัดส่วน มันคิดว่าลาบ้านคงได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี
แต่เมื่อเจ้าของลาบ้านนำข้าวของมากมายมาตั้งไว้บนหลังลาบ้านตัวนั้น และเมื่อเขาขี่ลาบ้านไปเขาใช้แส้ตีลาบ้านอย่างโหดร้าย
ลาป่าก็พูดว่า “พี่ชายข้าไม่อยากที่จะเหมือนพี่ชายอีกแล้ว เพราะกว่าพี่ชายจะได้ขนอันสวยงามและเรียบเป็นมัน พี่ชายต้องทำงานหนักเช่นนี้เชียวหรือ”
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
สิ่งที่เห็นว่าดีอาจจะไม่ดีอย่างที่คิด
หมีกับหมาป่า
หมีตัวหนึ่งถูกชาวบ้านนำมาเลี้ยงตั้งแต่เล็กๆ ชาวบ้านสอนให้มันเป็นหมีที่เชื่อง มีนิสัยอ่อนโยน น่ารัก
จนวันหนึ่งหมีได้เดินเที่ยวเข้าไปในป่าลึก ขณะที่มันกำลังเพลินเพลินชมนกชมไม้อยู่นั้น ก็มีฝูงหมาป่า ดุร้ายมาล้อมเจ้าหมีไว้ เพราะเห็นว่าหมัตัวนี้ดูอ่อนแอ ไม่ดุร้าย
“เจ้าหมีเชื่อง วันนี้พวกข้าจะกินเจ้าเป็นอาหาร”
พูดจบหมาป่าตัวหนึ่งก็กระโดดกระโจนเข้าไปหาหมี หวังที่จะตะปบให้ตาย
หมีเห็นดังนั้น สัญชาตญาณความเป็นหมีของมันก็เกิดขึ้นทันที มันจึงใช้มือตบหมาป่าที่กระโจนเข้ามาหาด้วยพลังทั้งหมดที่มี ทำให้หมาป่ากระเด็นไปไกล ดิ้นตายในทันที
“ยังมีใครคิดจะกินข้าเป็นอาหารอีกไหม”
ฝูงหมาป่าเห็นดังนั้นก็พากันวิ่งหนีไม่คิดชีวิต
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
อย่าตัดสินคนจากท่าทางภายนอก
อีกากับหงส์
อีกาตัวหนึ่งซึ่งใครๆ ก็รู้ดีว่ามันดำราวกับถ่าน รู้สึกอิจฉาหงส์ เพราะขนของหงส์มีสีขาวผุดผ่องดุจดั่งหิมะบริสุทธิ์ เจ้านกโง่งมมีความคิดว่าหากมันใช้ชีวิตเหมือนหงส์ที่ว่ายน้ำและดำน้ำตลอดทั้งวัน กินแต่สาหร่ายและตะไคร่น้ำ ขนของมันก็คงจะกลายเป็นสีขาวเหมือนหงส์
ดังนั้นมันจึงจะละทิ้งบ้านของมันในป่าและทุ่งนา แล้วบินร่อนลงไปอาศัยอยู่ในทะเลสาบและหนองน้ำ แม้ว่าตลอดทั้งวันมันเอาแต่ล้างตัวแล้วล้างตัวอีก จนแทบจะจมน้ำ ขนของมันก็ยังคงเป็นสีดำอยู่เช่นนั้น แถมวัชพืชน้ำที่มันกินเข้าไปยังไม่เหมาะกับร่างกาย มันจึงผ่ายผอมลงเรื่อยๆ จนในกระทั่งในที่สุดมันก็ตาย
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
การเปลี่ยนแปลงนิสัยไม่อาจแก้ไขสิ่งที่ธรรมชาติให้มา
จั๊กจั่นกับมดง่าม
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว…มีจั๊กจั่นเจ้าสำราญตัวหนึ่งมีนิสัยเกียจคร้าน ชอบความสะดวกสบาย ตลอดช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา มดง่ามพากันหาอาหารไปเก็บสะสมไว้ในรัง แต่เจ้าจั๊กจั่นมัวแต่ร้องรำทำเพลง สนุกสนานไปวันๆ
ครั้นถึงฤดูหนาวหิมะตกหนัก มดง่ามเก็บตัวอยู่กับเม็ดพืชที่มันได้หาเก็บเตรียมพร้อมไว้ ส่วนจั๊กจั่นนั้นไม่สามารถหาอาหารกินได้ อดอยู่หลายวัน
จนในที่สุด ต้องซมซานด้วยความหิวโหยมาเคาะประตูรังของมดง่ามที่เคยรู้จักกัน “ได้โปรดเถิด ข้าขาดอาหารมาตั้งหลายวัน ขออาหารให้ข้ากินประทังความหิวหน่อยได้หรือไม่ ข้าสัญญาว่าเมื่อพ้นฤดูฝนนี้ไปแล้ว ข้าสัญญาว่าจะหามาใช้คืนให้เป็นเท่าตัว” เจ้าจั๊กจั่นพยายามวิงวอน
มดง่ามถึงถามขึ้นมาว่า “แล้วในฤดูร้อนมีออาหารอุดมสมบูรณ์ ใครๆเขาพากันทำมาหากินตัวเป็นเกลียว เจ้าไปทำอะไรมาจึงไม่หาอาหารมาเก็บใว้เล่า”
จั๊กจั่นตอบว่า “เพราะว่าข้าไม่มีเวลาน่ะสิ ข้ายุ่งอยู่กับการร้องเพลงตั้งแต่เช้าจรดค่ำ เมื่อตอนที่เจ้าและเพื่อนๆขนอาหารผ่านมา ก็ได้ยินมิใช่หรือ ครั้นพอถึงฤดูฝน ก็ไม่มีอาหารเหลือให้เก็บไว้เลย”
ฝ่ายมดง่ามได้ยินดังนั้นก็หัวเราะกับตอบของจั๊กจั่น พลางเก็บเม็ดข้าวกองพูนของตนไว้ในห้องใต้ดิน แล้วเอ่ยเย้ยจั๊กจั่นว่า “ในเมื่อฤดูร้อนเจ้าเอาแต่ร้องเพลงไปวันๆ เมื่อถึงฤดูฝนทำไมเจ้าไม่เอาเวลาไปเต้นรำด้วยหล่ะ” กล่าวจบมดก็ปิดประตูทันที
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
“ผู้ขยันย่อมไม่ประมาท…เตรียมพร้อมสำหรับอนาคต…ย่อมไม่อดอยาก”
“คนเกียจคร้านและประมาท…มักปล่อยเวลาไปกับความต้องการที่โง่เขลาของตน
จึงมักจะได้รับความลำบากยากแค้นในอนาคต“
สองสาวใช้กับไก่
แม่เฒ่าคนหนึ่งอาศัยอยู่กับสาวใช้สองคน ทั้งสองมีหน้าที่เก็บกวาด เช็ดถูและจัดเก็บข้าวของให้เป็นระเบียบ เช้ามึดของทุกวัน ไก่ที่แม่เฒ่าเลี้ยงไว้จะส่งเสียงขันเตือนให้นางตื่นมาปลุกสาวใช้ให้ลุกมาทำงานบ้าน สาวใช้ทั้งสองรู้สึกไม่พอใจที่ตนไม่ได้หลับนอนอย่างสบาย “เป็นเพราะเจ้าไก่ตัวนั้นแน่ๆ ที่คอยปลุกแม่เฒ่าทุกเช้าแบบนี้ เราต้องช่วยกันกำจัดมันแล้วล่ะ” ว่าแล้วทั้งสองก็วางแผนฆ่าเจ้าไก่ แต่เหตุการณ์กลับไม่เป็นอย่างที่สาวใช้คิด เพราะเมื่อไม่มีเจ้าไก่ตัวนั้นแล้ว แม่เฒ่ากลับยิ่งกังวลกว่าเดิมว่าสาวใช้ทั้งสองจะตื่นสายและทำความสะอาดบ้านไม่ทัน นางจึงตื่นขึ้นมาปลุกสาวใช้ให้ทำงานบ้านกลางดึกของทุกคืนแทน
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัว
ลิง หมี และช้าง
ลิง หมี และช้าง สัตว์ทั้ง 3 กำลังวิพากวิจารณ์รูปร่างของพวกมันอยู่ ฝ่ายลิงกล่าวกับหมีว่า
“ข้าภูมิใจในรูปร่างของข้า ถ้าหากเทียบกับเจ้าแล้ว ข้าย่อมดูดีกว่าเจ้ามากนัก”
หมีพูดว่า
“แต่ข้าก็ยังดูดีกว่าช้างนะ ช้างมีหูใหญ่ มีงวงที่น่าเกลียดและมีลำตัวใหญ่โตหนาเทอะทะ”
ฝ่ายช้างไม่พอใจคำวิจารณ์ของหมี มันกล่าวตอบหมีว่า
“เจ้านั่นแหละที่มีร่างกายน่าเกลียดน่ากลัว รูปร่างหน้าตาอัปลักษณ์”
ต่างฝ่ายต่างก็เถียงกัน ไม่มีใครยอมใคร สร้างความรำคาญให้แก่เทวดาเป็นอย่างมาก เทวดาจึงสาปสัตว์ทั้งสามอยู่ในป่าตลอดไป
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
รูปร่างภายนอกเป็นเพียงภาพลวงตา
เสือดาวกับหมูป่า
เสือดาวตัวหนึ่งวิ่งไล่ล่าหมูป่า หมูป่าพยายามวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต แต่ก็ไม่พ้นเสือดาวไปได้ เพราะข้างหน้าเป็นพุ่มไม้ หนาทึบขวางกั้นอยู่
เมื่อเสือดาวจับหมูป่าได้แล้ว ก็ตะปบซ้ายขวาครั้งแล้วครั้งเล่า จนหมูป่าทนไม่ไหว หมูป่าบอกกับเสือดาวว่า
“ขอร้องละ อย่าตะปบข้าอีกเลย ฆ่าข้าซะเถอะ ข้าทนความทรมานต่อไปไม่ไหวแล้ว”
เสือดาวไม่ได้ทำตามคำขอร้องของหมูป่า กลับรู้สึกสนุกสนานที่ได้แกล้งเหยื่อให้ทรมานก่อนกินเป็นอาหาร จึงทำการตะปบหมูป่าต่อไปอย่างทารุณ
“ข้าเจ็บปวดเหลือเกิน ข้าทนไม่ไหวแล้ว ฆ่าข้าเสียเดี๋ยวนี้เถอะ”
เสือดาวได้ยินคำร้องขอก็หัวเราะ
“ไม่มีทาง ข้าจะทรมานเจ้าไปเรื่อยๆ จนกว่าข้าจะพอใจ”
หมูป่าได้ยินดังนั้นก็ฮึดสู้ เอาเขี้ยวแหลมยาวของมันฝังเข้ากลางอกเสือดาว จนเสือดาวตายคาที่
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
ความเจ็บปวดเป็นประสบการณ์ทำให้คนเราแข็งแกร่ง
เป็นอย่างไรกันบ้างคะ กับ 10 นิทานสอนใจ ที่ทีมแม่ ABK เลือกมาให้แม่ ๆ เอาไปอ่านให้ลูกฟัง หวังว่าเด็ก ๆ จะชอบ นิทานสอนใจ นี้กันนะคะ
อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก
ขอบคุณข้อมูลจาก : สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ, www.kalyanamitra.org
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่