… ช่วงปลายฝนต้นหนาวนี้ ทำให้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย ซึ่งสำหรับเด็กน้อยเมื่อเจออากาศแบบนี้ก็อาจทำให้หลายคนป่วยเป็นไข้หวัดได้
ลูกไอเป็นภาวะที่พ่อแม่ทุกคนไม่อยากให้ลูกเป็น เพราะบางครั้งทำให้ลูกทุกข์ทรมาน เด็กบางคนไอมากจนร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด ไอมากจนอาเจียนหรือไอมากจนไม่ได้หลับนอน หรือในบางครั้งถึงลูกจะมีอาการไอไม่รุนแรง แต่ก็ทำให้เกิดความรำคาญได้ แต่ไม่ว่าจะเป็นอาการแบบไหนเสียงไอของลูกน้อยก็เป็นเสียงที่ทรมานใจ สำหรับคุณพ่อคุณแม่เช่นกันและมาพร้อมกับความวิตกกังวลว่าอาการไอของลูกคือสัญญาณเตือนปัญหาอะไรหรือเปล่า!
ยาน้ำแก้ไอสำหรับเด็ก
อาการไอ เป็นกลไกที่สำคัญของร่างกายในการกำจัดสิ่งระคายเคือง หรือสิ่งแปลกปลอมในระบบทางเดินหายใจของร่างกาย ซึ่งสาเหตุบอกอาการไอส่วนใหญ่ เกิดจากการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ ที่มักพบบ่อย คือโรคหวัด ทำให้เด็กมีไข้ น้ำมูกไหล ซึ่งอาการคันและระคายคอ เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เด็กไอ
ฉะนั้นเวลาลูก เป็นหวัดธรรมดาแล้วไอออกมาจึงไม่ใช่เรื่องน่าเป็นห่วง แต่ถ้ามีอาการไอผิดปกติขึ้นมาก็ต้องมาดูถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการไอโดยเฉพาะถ้าเกิดกับเด็กเล็ก จึงจำเป็นอย่างยิ่งคุณพ่อคุณแม่จะต้องรู้ทันอาการไอของลูกน้อย พร้อมวิธีรับมือดูแลรักษาอาการไอของลูกให้อยู่หมัดแล้วจะต้องทำอย่างไรบ้าง Amarin Baby & Kids มีคำตอบมาฝากค่ะ
ลักษณะอาการไอ
- ไอแบบฉับพลัน หลังทานอาหาร อาจเกิดจากอาการติดคอ หรือเด็กนำของเล่นกลืนเข้าไปแล้วติดคอ ควรพบแพทย์เพื่อนำวัตถุแปลกปลอมออกไป เพราะอาจเกิดอันตรายได้
- ไอแห้ง ๆ ไม่มีเสมหะ อาจเกิดจากระคายเคืองในระบบหายใจ เยื่อจมูกบวม อาจต้องล้างจมูกเพื่อให้สะอาด และดื่มน้ำมาก ๆ
- ไอแบบมีเสมหะหรือเสมหะข้นขุ่น อาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัสหรือภูมิแพ้ ให้ระวังมีไข้จากภาวะอักเสบ รักษาโดยการให้ยาลดไข้ เช็ดตัว หากจำเป็นใช้ยาลดเสมหะเพื่อให้บรรเทาอาการและควรพบแพทย์
- ไอเรื้อรัง เป็นง่าย หายยาก อาจเกิดจากเชื้อไวรัส หอบหืด ไอกรน และวัณโรค ควรพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุและรักษาอย่างถูกวิธี
- ไอเบา ๆ และตามาด้วยเสียงหัวเราะ อาจเป็นการไอจากความซนของลูกน้อย ที่เลียนแบบผู้ใหญ่ที่ได้ยินเสียงไอ
วิธีรับมือและป้องกันเมื่อลูกมีอาการไอ
ก่อนอื่นคุณพ่อคุณแม่ควรสังเกตดูอาการไอของลูกจากลักษณะอาการไอข้างต้น แล้วพิจารณาว่าอาการนั้นรุนแรงหรือไม่ ถ้าหากมีอาการรุนแรงหรือมีอาการอื่นร่วมด้วย ควรรีบพาลูกไปปรึกษาแพทย์ และควรปฏิบัติเพื่อรักษาอาการไอของลูกน้อย ดังนี้
- ดื่มน้ำบ่อยๆเพราะน้ำ ถือเป็นยาแก้ไอที่ดีที่สุด หากเด็กมีอาการไอ ควรดื่มน้ำให้มากขึ้น และควรเป็นน้ำอุ่น หรือน้ำในอุณหภูมิปกติ หลีกเลี่ยงน้ำเย็น น้ำแข็ง ที่อาจทำให้ไอเพิ่มมากขึ้น
- กินอาหารอ่อนๆ ย่อยง่าย เพื่อลดการอาเจียนที่อาจเกิดร่วม สำหรับเด็กโตที่สามารถรับประทานอาหารทั่วไปได้ ควรงดอาหารประเภททอดทุกชนิด เพราะอาหารเหล่านี้จะทำให้อาการระคายคอมีเพิ่มมากขึ้น
- หลีกเลี่ยงบริเวณที่มีฝุ่นควันเพราะบริเวณที่มีฝุ่นควันอาจทำให้เด็กรับเชื้อเพิ่มมากขึ้นและกระตุ้นอาการไอ อาจส่งผลให้เด็กไอเรื้อรังและเกิดอาการอักเสบได้
- สวมใส่เสื้อผ้าหนา ๆ ในหน้าหนาวหากเป็นหน้าหนาว คุณพ่อคุณแม่ควรให้ลูก ๆ สวมใส่เสื้อผ้าหนา ๆ เพื่อให้ร่างกายอบอุ่น เพราะอากาศที่เย็นจะยิ่งกระตุ้นให้หลอดลมหดตัวทำให้มีอาการไอมากขึ้น
- รับประทานยาเพื่อรักษาและบรรเทาอาการไอสำหรับการใช้ยาแก้ไอนั้นไม่ควรใช้กับเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 1 – 2ขวบ เพราะยาอาจตกค้างและส่งผลเสียต่อร่างกายของเด็ก หากคุณพ่อคุณแม่ปฏิบัติตามคำแนะนำที่ให้ไว้แล้วอาการไอของลูกน้อยยังไม่ทุเลา ควรปรึกษาหรือขอคำแนะนำจากแพทย์หรือเภสัชกร เพื่อป้องกันอาการแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นกับลูกน้อยได้
ยาน้ำแก้ไอสำหรับเด็ก ที่คุณแม่ไว้ใจได้!
ยาน้ำแก้ไอเด็ก ตรามิสเตอร์เฮิร์บ เจ้าของเดียวกับ ยาน้ำเขากุย ตราอ้วยอันโอสถ มีสรรพคุณแก้ไอ และขับเสมหะเป็นสูตรยาน้ำที่ได้พัฒนาขึ้นมา สำหรับเด็กโดยเฉพาะโดยปราศจากสารเคมี แอลกอฮอล์ และกลิ่นสังเคราะห์ ผลิตจากสมุนไพรธรรมชาติ รสชาติอร่อย ทานง่าย หาซื้อได้ตาม 7-11 Family Mart และร้านขายยาทั่วไป เหมาะกับคุณพ่อคุณแม่สมัยใหม่ที่ใส่ใจในส่วนผสมและความปลอดภัยของยาซึ่งคุณแม่เมย์ เฟื่องอารมณ์ ของน้องมายู และคุณจูน กษมา ของทั้งเด็กน้อยทั้ง 4 ออ ก็ยังเลือกใช้ ยาน้ำแก้ไอเด็ก ตรามิสเตอร์เฮิร์บเรียกได้ว่าคุณพ่อคุณแม่สามารถไว้วางใจได้อย่างแน่นอนค่ะ
ส่วนประกอบหลักของยาคือ มะขามป้อม (Phyllanthusemblica Linn.) ผลมะขามป้อมสดใช้รับประทานเป็นผลไม้ แก้กระหายน้ำได้เป็นอย่างดี อีกทั้งมะขามป้อมยังถือเป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณในการช่วยเสริมภูมิต้านทานให้เราได้เช่นเดียวกัน เพราะเป็นผลไม้ที่ให้วิตามินซีสูงมากกว่าบรรดาผลไม้ไทยทุกชนิด นอกจากนั้นยังเป็นยาบำรุงแก้หวัด แก้ไอ ละลายเสมหะมีส่วนประกอบที่สำคัญ ประกอบด้วยมะขามป้อม ผลมะแว้งเครือ ส้มจี๊ด น้ำผึ้ง และตัวยาอื่นๆ
√ วิธีรับประทาน
เด็กอายุ 2 – 6 ขวบ 1 ช้อนชา หลังอาหารและก่อนนอน (5 ml)
เด็กอายุ 6 – 12 ขวบ 2 ช้อนชา หลังอาหารและก่อนนอน (10 ml)
>> สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://bit.ly/2cSsial
ทั้งนี้สิ่งสำคัญที่คุณพ่อคุณแม่ต้องรู้ คือ ก่อนซื้อหรือเลือกใช้ยา เพื่อความปลอดภัยในสุขภาพของลูกน้อย ควรปรึกษาหรือขอคำแนะนำจากเภสัชกรหรือคุณหมอทุกครั้งนะ